macho_luglio 's cargo, Mostly fanfictions.

[KnB : AoKi] – One Shot : Be the light.
 
 
Pairing : Aomine Daiki X Kise Ryota.
 
 
Rate : NSFW
 
 
 
Inspired by One OK Rock song : Be the light. (English version)
 
 
 
 
macho_luglio
 
 
 
 
 
You have seen hell and made it back again.
How to forget?
We can’t forget the lives that were lost along the way.
 
 
 
เส้นปากกาวงวันที่ในสมุดตาราง บางช่องเขียนกำหนดการเพิ่ม บางช่องขีดทิ้งเพราะถูกปฏิเสธงาน
 
 
 
แต่ไม่ว่ามือจะเขียนไปถึงส่วนไหน สายตาของคิเสะกลับเผลอเหลือบมองไปที่คำว่า “วันครบรอบ” เสมอ…วันที่ 1 พฤศจิกายน
 
 
 
1 ปีผ่านไปแล้ว  สถานการณ์รอบตัวดูห่างไกล แต่ความรู้สึกยังใกล้เหลือเกิน
 
 
 
เสียงเรียกเข้าจากมือถือ ดึงความสนใจกลับมาจากภวังค์ หน้าจอปรากฎชื่อของพี่สาว เขากดรับ
 
 
 
“เรียวจัง พี่เลิกงานแล้ว ยังอยู่ที่ร้าน W Burger ใช่ไหม?”  เสียงปลายสายถาม
 
 
 
คิเสะยิ้มอ่อนโยน “อื้ม ผมนั่งเขียนบทความวีคลี่บาสเสร็จพอดีเลย พี่จะกินอะไรไหม ผมจะได้ซื้อเผื่อ”
 
 
 
“ไม่ต้องหรอก พี่ซื้อข้าวกล่องมาแล้ว เดี๋ยวจะวนรถไปรับเลยนะ”  พี่สาวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพร้อมสตาร์ทเครื่อง ก่อนจะอุทานอย่างนึกได้ “เอ้อ! แล้วนิตยสาร M wear ตอบกลับมาหรือยัง”
 
 
 
“ไม่ผ่านครับ”  เขาบอกพร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้เสียใจ แต่ก็เคยคาดหวังว่าจะได้งานนี้ “ถึงจะเป็นการถ่ายภาพนิ่ง แต่ต้องโพสแบบ active ด้วยน่ะ”
 
 
 
“อะไรกัน…”  เสียงถอนหายใจยาว แล้วรีบเปลี่ยนเป็นร่าเริงอย่างกลัวน้องชายจะรู้สึกผิด “ไม่เป็นไรหรอก! เรียวจังยังมีงานอื่นรออีกเยอะ ไว้ค่อยคุยกันนะ!”
 
 
 
“ครับๆ”  คิเสะยิ้มให้แม้พี่จะไม่เห็น ก่อนกดปุ่มวางสาย
 
 
 
นอกหน้าต่างร้านฟาสต์ฟู้ด…ใบไม้ร่วงลงมายามค่ำนั้นมองไม่เห็นสีสัน…ลมหอบพัดใบไม้สีดำให้ปลิวตัดกับแสงไฟสีส้ม…ดูคล้ายกับขี้เถ้าและเขม่าที่ลอยผ่านเปลวไฟ
 
 
 
ตอนนี้คิเสะไม่ได้กลัวแล้ว แต่ไม่อยากนึกถึงเท่าไหร่นัก เขาเบนสายตากลับมายังสมุด ทว่าตารางงานในรอบปีนี้ คือเครื่องตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงตลอดไป
 
 
 
ปลายนิ้วเลื่อนดูรายการในสมาร์ทโฟน เลือกงานนักเขียนหรือนักพากษ์กีฬาแล้วเขียนลงสมุดว่าจะสมัครเมื่อไหร่ โดยตัดงานนายแบบออกทั้งหมด…
 
 
 
จดจ่อกับงานได้สักพัก ขณะเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะ ก็พบว่าใครคนนึงมายืนอยู่ข้างๆ คิเสะเงยหน้า แล้วยิ้มกว้าง
 
 
 
อีกฝ่ายผงกหัวให้ด้วยหน้านิ่งๆ ในมือถือวานิลลาเชค “สวัสดีครับคิเสะคุง นั่งด้วยได้ไหม”
 
 
 
“เอาเลย คุโรโกจจิ เพิ่งเลิกงานเหรอ”  เจ้าของโต๊ะเขยิบแก้วน้ำและถาดอาหารหลบ เผื่อที่ให้คนมาใหม่  “แบกกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย อะไรน่ะ?”
 
 
 
“ผ้าสำหรับเย็บชุดเอี๊ยมของเด็กๆน่ะครับ”  คุโรโกะเปิดของด้านในให้ดู เป็นผ้าพื้นหลายสี “สัปดาห์จะมีงานกีฬาสี”
 
 
 
“หวาว….ดีจังเลยนะ กีฬาสีของเด็กอนุบาล”  คิเสะทำตาวาว “คุโรโกจจิเป็นคุณครูเต็มตัวแล้วสินะเนี่ย ฉันอยากไปดูตอนแข่งจัง”
 
 
 
“มาสิครับ ผมกำลังขาดคนพากษ์พอดี…คุณครูผู้หญิงคนอื่นบอกว่าอาย ส่วนตัวผมเองก็ไม่เหมาะเท่าไหร่…”  คนพูดวางกระเป๋าถือไว้บนเก้าอี้ข้างๆ  “แต่ว่า…จะรบกวนเวลาของคิเสะคุงหรือเปล่า”
 
 
 
“รบกวนอะไรกัน….” คนถูกถามลากเสียงยาว ยิ้มตอบ  “ตอนนี้ฉันว่างจนไม่รู้จะว่างยังไงเลยล่ะ ไม่ได้ยุ่งเหมือนปีก่อนๆแล้ว”
 
 
 
“….งั้นเหรอครับ…ขอโทษนะ”  อีกฝ่ายเอ่ย เหมือนจะนึกว่าตัวเองสะกิดแผลใจ
 
 
 
“ขอโทษอะไรกันเล่าาาา”  คิเสะทำหน้าเบ้ เอื้อมมือมาขยี้ผมคนตรงหน้า “ทุกอย่างโอเคขึ้นแล้ว”
 
 
 
คุโรโกะจับมือบนหัวตัวเองออก ยิ้มบางให้ แววตานิ่งๆนั้นอ่อนโยน  “เข้มแข็งจังนะครับ….”
 
 
 
“ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ?”  คนถูกชมดึงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
 
 
 
ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางตูมลงบนโต๊ะ คิเสะเงยหน้า พอเห็นว่าเป็นใครจึงประท้วง “คางามิจจิ! ฉันตกใจจริงๆนะ!”
 
 
 
เจ้าของชื่อแคะขี้หูอย่าไม่ใส่ใจนัก แถมวางหมวกกันไฟลงบนสมุดงานของคิเสะอีกต่างหาก  “โฮ้ยๆ…ของมันหนักก็ต้องวางสิ”
 
 
 
“กลับมาแล้วเหรอครับคางามิคุง”  คุโรโกะทักอย่างเคยชิน
 
 
 
“กลับมาแล้ว”  คางามิตอบอย่างเคยชินเช่นกัน เอื้อมมือมาจับหัวคนที่มักจะมานั่งร้านในร้านเสมอ  “ซื้อของกินหรือยัง จะกลับบ้านเลยไหม”
 
 
 
“สั่งเบอร์เกอร์ไว้ให้แล้วครับ”  คุโรโกะชี้ไปทางเคาน์เตอร์ร้านซึ่งดูแคบไปถนัดตาเพราะกองภูเขาเบอร์เกอร์ตามออเดอร์
 
 
 
“อย่ามาหวานกันต่อหน้าฉันนะ….ฮือๆๆๆๆ อิจฉาๆๆๆ”  คิเสะซบลงไปกับโต๊ะ ทั้งที่จริงกลั้นหัวเราะอยู่…สองคนตรงหน้าเปิดตัวว่าคบหากันได้เกือบปีแล้ว ตอนนี้เลยเหมือนคู่สามีภรรยาไม่มีผิด
 
 
 
คางามิเขกหัวคนแกล้งร้องไห้ก่อนบอก  “ตอนเดินเข้ามา ฉันเห็นรถพี่สาวนายกำลังเข้าจอดอยู่ด้านหลังร้านแน่ะ ถ้าจะกลับก็เดินออกไปพร้อมกันเลย”
 
 
 
“เอ๊ะ มาถึงเร็วจัง”  คิเสะเงยหน้าขึ้นมา แล้วเก็บของบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
 
 
 
คางามิสะพายเป้ใบใหญ่ คว้ากระเป๋าผ้าของคุโรโกะไปด้วย และออกเดินไปเอาเบอร์เกอร์ก่อน คุโรโกะดูดวานิลลาเชคของโปรดจนเกลี้ยง บ่นพึมพำใส่คางามิว่าไม่ต้องเอากระเป๋าของตนไป แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง
 
 
 
จังหวะที่คิเสะยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้น มือขาวบางของคุโรโกะก็ยื่นมาตรงหน้า
 
 
 
คิเสะยิ้มให้ จับมืออีกฝ่ายไว้แล้วลุกขึ้น หันไปหยิบไม้ค้ำที่วางแอบอยู่ด้านหลังออกมาใช้…ก่อนจะลากขาซ้ายที่ไร้การเคลื่อนไหวออกมาจากโต๊ะ
 
 
 
“ขอบคุณนะคุโรโกจจิ”  เขาเอ่ยขณะปล่อยมือเมื่อสามารถยืนได้ด้วยตนเองแล้ว
 
 
 
“อาการเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้” อีกฝ่ายถาม
 
 
 
“รพ.ของมิโดริมัจจิคือสุดยอดแล้วล่ะ ทำให้ฉันกลับมาเดินได้ขนาดนี้”  คิเสะตอบขณะยกไม้ค้ำ พยุงตัวเองออกจากร้าน
 
 
 
“….แล้ว จะเป็นเหมือนเดิมไหมครับ”  คุโรโกะลังเล แต่เลือกที่จะถาม  “ถ้าไปรักษาที่อเมริกา จะได้ไหม ถ้าอาโอมิเนะคุงช่วย…”
 
 
 
คิเสะชะงัก…ก่อนจะคลี่ยิ้มอีกครั้ง แม้หัวคิ้วจะเผลอขมวดเข้าหากันอย่างเจ็บปวด “เคยลองแล้วล่ะ…ไม่ได้หรอก”
 
 
 
ที่ทำให้เจ็บปวดไม่ใช่คำถามของคุโรโกะ แต่เป็นคำตอบที่เคยได้รับเมื่อนานมาแล้ว…ตอนที่ยังมีความหวังเหลือในใจ
 
 
 
‘นายจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม
 
 
 
ตัดใจเรื่องขาเสียเถอะ’
 
 
 
อาโอมิเนะ เคยบอกเอาไว้ผ่านโทรศัพท์….ช่องทางที่พวกเขาติดต่อกันเป็นครั้งสุดท้าย
 
 
 
คิเสะสูดหายใจ ปัดเรื่องในอดีตออกจากหัว  “ไม่เป็นไรหรอกคุโรโกจจิ ขอบคุณนะ”
 
 
 
สายตาที่มองมา แม้จะดูเฉยเมย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใย คุโรโกะมาส่งเขาจนถึงรถที่จอดรอ….
 
 
 
 
 
0-0-0-0-0-0-0-0-0
 
 
 
 
1 พฤศจิกายน ของปีก่อน  เกิดเหตุไฟไหม้สนามกีฬาบาสเก็ตบอลในโตเกียว อาคารพังถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิตเกิน 100 คน บาดเจ็บเกิน 1000 คน เนื่องจากขณะนั้นกำลังจัดงานแถลงข่าวการเซ็นสัญญาของ คิเสะ เรียวตะ กับทีมบาสเก็ตบอลชื่อดังใน NBA
 
 
 
 
คิเสะบาดเจ็บสาหัส  ขาซ้ายถูกไฟลวกอย่างรุนแรงถึงกล้ามเนื้อ กระดูกหักซับซ้อนหลายจุด
 
 
 
 
จากอาการ ทำให้เขาต้องจบชีวิตในฐานะนักกีฬา…
 
 
 
 
0-0-0-0-0-0-0-0-0
 
 
 
 
ลมช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทำให้แผลเก่าตึงและปวดหนัก
 
 
 
คิเสะลากขากลับห้อง เมื่อปิดประตูก็แทบจะโยนของในมือและไม้ค้ำทิ้ง พุ่งลงเตียง…ขดตัวดึงขาซ้ายขึ้นมากอด…ความอดทนต่อหน้าคนอื่นพังทลาย เปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างทรมาน
 
 
 
ปกติหากปวดขึ้นมา พี่สาวจะคอยถามไถ่และนวดให้ แต่ตอนนี้พี่ออกไปงานสังสรรค์ต่อ จึงต้องพึ่งตนเอง ใช้ฝ่ามือค่อยๆบีบนวดไปตามขา คลายกล้ามเนื้อให้หายเกร็ง…ทั้งๆที่สูญเสียความสามารถในการขยับแท้ๆ กลับยังเหลือความรู้สึกเจ็บและหด-ยืด สร้างความยุ่งยากไม่รู้จบ
 
 
 
เหมือนกับความทรงจำของเขา ทั้งๆที่รู้ว่าควรลืม แต่กลับย้ำไปย้ำมาในหัว
 
 
 
ตอนเข้ามาในห้องเขาไม่ได้เปิดไฟ…บรรยากาศจึงคล้ายกับตอนยังนอนอยู่โรงพยาบาลท่ามกลางกองผ้าพันแผลและความมืด
 
 
 
วันแรก  ใจเขายังคงแข็งแกร่ง เชื่อว่าทุกอย่างจะไม่เลวร้าย ครอบครัวอยู่ข้างๆเขา มิโดริมะเปลี่ยนจากอดีตเพื่อร่วมทีม มาเป็นแพทย์ประจำตัว
 
 
 
วันที่สอง ทุกคนที่ใกล้ชิดและห่วงใยทยอยมาหา รุ่นพี่คาซามัตสึ คุโรโกะและคางามิมาถึงเป็นคนแรกๆ ตามด้วยอดีตทีมไคโจ มุราซากิบาระ หรือแม้แต่อาคาชิ…เขาโทรหาอาโอมิเนะที่อเมริกา และได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายกำลังแข่งแมตซ์ต้นฤดูกาลอยู่
 
 
 
วันที่สาม เข้ารับการผ่าตัด เขาไม่รู้สึกตัว…
 
 
 
วันที่สี่และห้า โลกดูพร้อมจะหายไปตรงหน้า มืดมน เจ็บปวด เหมือนตกนรก
 
 
 
วันที่หก ได้รับคำยืนยันจากแพทย์ ว่าไม่สามารถรักษาขาของเขาเอาไว้ได้
 
 
 
วันที่เจ็ด เขาฝืนตัวเองโทรหาอาโอมิเนะอีกครั้ง บอกสิ่งที่เกิด ถามถึงหนทางรักษา…
 
 
 
และได้คำตอบ ที่หลอกหลอนเขามาตลอด 1 ปีเต็ม
 
 
 
 
โลกในโรงพยาบาลมืดมัวไร้จุดหมาย…แต่ไม่หนาวเหน็บเกินไปนัก เขามีครอบครัวคอยดูแล โดยเฉพาะพี่สาว คุโรโกะมาเยี่ยม บ่อยครั้งที่คางามิมาพร้อมกัน…ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็สารภาพว่าคบหาในฐานะคนรัก
 
 
 
เขามองคุโรโกะ   เงาที่มีแสงสว่างคอยเคียงข้าง
 
 
 
ในขณะที่แสงสว่างของเขาอยู่อีกฟากโลก และไม่เคยสาดส่องมาถึง
 
 
 
เจ็บเจียนตาย
 
 
 
 
…..
………………
……………………….
 
 
 
 
 
สองเดือนเต็มในห้วงทุกข์ผ่านไป แผลภายนอกทุเลาลงแล้ว ทีมแพทย์ของมิโดริมะ เสนอให้เขาเริ่มกายภาพบำบัด
 
 
 
นั่นเป็นครั้งแรกที่คิเสะได้มองสภาพของตัวเองเต็มตา…ราวกับเห็นคนแปลกหน้า
 
 
 
 
และทำให้คิดได้
 
 
 
 
ในเมื่อไม่มีใคร ก็จะเป็นแสงสว่างด้วยตัวเอง
 
 
 
 
เขามองรอบตัวมากขึ้น คุยกับคนอื่นมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น
 
 
 
และมุ่งมั่นทำกายภาพบำบัดให้บ่อยครั้ง ทั้งๆที่เวลาทำต้องเจ็บสาหัส
 
 
 
 
 
…เพราะเป็นไม่กี่ช่วงเวลา ที่เขาสามารถร้องไห้ออกมา โดยไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง…
 
 
 
 
 
หลังแผลหายสนิท คิเสะพบตัวเองอยู่ในสภาพ ‘อดีตนักกีฬาและนายแบบ’ สัญญากับโมเดลลิ่งจบลงเพราะเขาเดินไม่ได้ถ้าไม่มีไม้ค้ำ แต่นั่นไม่ทำให้กำลังใจของเขาหมดไป…แหล่งกำเนิดแสง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นอย่างไร  อยากสว่างไสว ก็ต้องสร้างทางของตัวเองอีกครั้ง  เขาคิดจะยึดอาชีพนักเขียนคอลัมน์กีฬา ยังรักที่จะอยู่ในอยู่วงการบาสเก็ตบอล ซักซอกมุมก็ยังดี
 
 
 
 
แม้จะเจ็บปวดในบางครั้ง เมื่อนึกถึงวันที่เคยเกือบได้ก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุด…วันที่จะไปยืนเคียงข้างในฐานะนักบาส NBA ด้วยกัน
 
 
 
 
สองมือยกขึ้นขยี้หน้าตัวเองแรงๆ ไล่ความรู้สึกไม่ดีออกไป คิเสะยันตัวขึ้นจากเตียง หวังว่าจะเขียนงานให้เสร็จก่อนสักชิ้น…เสียงเปิดประตูดังขึ้น…แปลกใจที่ทำไมวันนี้พี่สาวไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา เขาหันไปมอง
 
 
 
แล้วต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบคนืั้คิดว่าจะไม่มีวันเจอกันอีก
 
 
 
 
“อาโอมิเนจจิ…”
 
 
 
 
จบคำ เจ้าของชื่อเดินเข้ามาเองโดยไม่ต้องเชิญ “…นายกลับมาอยู่บ้านเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่  ฉันไปหาที่แมนชั่น กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว”
 
 
 
 
“ก็…ตั้งแต่ปีที่แล้ว”  คิเสะได้แต่ตอบไปตามที่ถาม เขาไม่รู้จะเป็นฝ่ายพูดอะไรก่อน
 
 
 
“เบอร์มือถือล่ะ? อีเมล?”  อาโอมิเนะมองสมุดบนโต๊ะที่วางทิ้งเอาไว้ เปิดหน้าที่คั่นกลางขึ้นอ่าน  “ตารางงานน้อยลงเยอะนี่?”
 
 
 
คิเสะเขยิบตัวมาที่ปลายเตียง ก้มลงหยิบไม้ค้ำขึ้นมา รู้สึกถึงสายตากรีดแทงมองมายังขาซ้าย  “น…นายมาที่นี่ทำไม”
 
 
 
“ยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ว่าเบอร์มือถือกับอีเมลหายไปไหน?”  อีกฝ่ายเอ่ยเสียงต่ำ
 
 
 
 
ทิ้งไปแล้ว…ตั้งแต่วันที่นายบอกให้ฉันตัดใจ….คิเสะอยากจะตอบไปแบบนั้น “ช่วงนั้นไม่ได้ทำงาน และไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนด้วย ก็เลย…”
 
 
 
 
พอกันที….ความอดทน
 
 
 
 
หางตาเรียวตวัดขึ้นมองคนตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงแข็ง  “ช่างหัวเบอร์กับเมลฉันเถอะ ในเมื่อมันต้องใช้ติดต่อใครอีก นายกลับมาทำไม ไม่สิ เพิ่งกลับมาทำไมตอนนี้”
 
 
 
อาโอมิเนะเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย  ห่างคิ้วขมวดหากันเป็นร่องลึก  “หา??? นี่นายต้อนรับฉันกลับด้วยคำพูดแบบนี้เหรอ คิเสะ”
 
 
 
“เออ”  คิเสะกัดฟัน จะให้เขาพุ่งเข้าไปออดอ้อนคนที่ทิ้งตัวเองไปหรือไง  “ต้อนรับอะไรกัน ที่ของนายไม่ใช่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
 
 
 
 
“คิเสะ….”  เสียงเรียกนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ  “คนอย่างฉัน…อุตส่าห์กลับมากลางฤดูแข่งขันเลยเชียวนะ”
 
 
 
 
“แต่มาปีนี้ ไม่ใช่ปีที่แล้ว…”  คิเสะไม่นึกมาก่อน ว่าจะมีวันที่เขายอกย้อนอาโอมิเนะได้เต็มปาก ตลอดมาระหว่างเขากับอีกฝ่าย คือการที่เขาเอาใจและไล่ตามเสมอ  “ฤดูแข่งขันของฉันจบไปนานแล้ว ฉันเลิกไล่ตามนาย…ฉันยืนขึ้นและไปตามทางของตัวเอง…ในขณะที่นายไม่เคยใส่ใจ”
 
 
 
“หมายความว่า ฉันไม่จำเป็นกับนายอีกแล้วใช่ไหม”  อาโอมิเนะสูดหายใจเข้าลึกอย่างอดกลั้น…เหมือนจะข่มอะไรบางอย่าง  “มันสายไปแล้วสินะ”
 
 
 
 
ประโยคนั้น เรียกความเจ็บในอดีตขึ้นมาอีก…เขาเคยมองมือถือ…เคยมองประตู…เผื่อซักวันคนของเขาจะกลับมา….จนรู้สึกว่ามันนานเกินจะรับไหว
 
 
 
 
สุดท้ายจึง ‘ตัดใจ’ ทั้งเรื่องขา…และคนรักที่เคยรอคอย
 
 
 
“มันจบไปนานแล้ว….”  คิเสะหันหลัง ซ่อนดวงตาที่สั่นเทา…แต่ไม่มีน้ำตาจะเสีย
 
 
 
 
หูได้ยินเสียงเท้าคู่หนึ่งออกเดิน…มันสะเทือนเหมือนเหยียบอยู่ในอก  หวังให้อีกฝ่ายจากไปก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุด
 
 
 
 
 
ห้องเงียบสนิทอีกครั้ง…
 
 
 
 
ก่อนที่คิเสะจะหลุดจากภวังค์ เมื่อขาซ้ายของเขาถูกรวบกอด
 
 
 
 
ริมฝีปากของอาโอมิเนะแนบประกบลงบนต้นขาที่ซูบผอมผ่านเนื้อผ้า เขาคุกเข่าลงต่อหน้า หลับตาราวกับจะซึมซับอะไรบางอย่าง
 
 
 
 
“ทำอะไรน่ะ!” คิเสะตวาดใส่ ขาของเขาไม่ใช่ของสวยงามอีกต่อไป การถูกสัมผัสทำให้กลัวว่าจะถูกรังเกียจ
 
 
 
อาโอมิเนะเมินเฉยต่อเสียงไล่และฝ่ามือที่พยายามผลักหัวของเขาออก  เข้าลูบโลมขาที่เสียไป ลามไปยังอีกข้างที่ยังสมบูรณ์ เลยไปถึงบั้นท้ายกลมแน่น…มือใหญ่ปลดกางเกงออกแม้จะถูกขัดขืนอย่างหนัก
 
 
 
“อาโอมิเนะ!!!”  เสียงเรียกห้วนๆอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนดังขึ้น  แต่ดูเหมือนจะไปตัดสติอีกฝ่ายจนขาด
 
 
 
คิเสะถูกผลักลงบนเตียง ร่างใหญ่กว่าแทรกผ่านหว่างขา ใช้น้ำหนักกดทับเอวเอาไว้  เสื้อถูกถลกขึ้นมากองเหนืออก ริมฝีปากขบกัดไปทั่วผิว เหมือนจะลงโทษมากกว่าเล้าโลม เขาดิ้นสู้และพยายามลุกหนี แต่กลับถูกจิกท้ายทอย บังคับให้เงยรับจูบหนักๆซ้ำไปมา
 
 
 
สุดจะทน คิเสะชกหมัดขวาเต็มแรงเข้าสันกรามซ้ายอาโอมิเนะจนหน้าหัน
 
 
 
 
“บ้าไปแล้วรึไง!!!”  เขาตวาดใส่
 
 
 
 
อาโอมิเนะมองลงมา…ด้วยสายตาที่คิเสะกล้าพูดว่า ไม่เคยเห็นมาก่อน…เหมือนสีหน้าตอนพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต…แต่ครั้งนี้…รุนแรงกว่านัก
 
 
 
ริมฝีปากสั่นเครือเหมือนอยากพูด…แต่เสียงไม่มีออกมา….ดวงตาสั่นพร่า…โกรธเคือง…เจ็บใจ…
 
 
 
…ขอโทษ….
 
 
 
ที่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง ในวันคืนอันมืดมิดนั้น
 
 
 
 
เกลียด….คิเสะรู้สึกเกลียดคนตรงหน้า….เกลียดที่ไม่พูดออกมา…เกลียดเพราะกลัวว่า ความรู้สึกขอโทษผ่านดวงตานั้น จะเป็นเขาคิดไปเอง…
 
 
 
 
อาโอมิเนะลดตัวลงมาแนบทับ…ยันแขนเหนือหัวคิเสะเอาไว้…สบตาสีอ่อนนั้น…ลำคอตีบตัน เค้นได้แค่ประโยคสั้นๆ
 
 
 
 
“ฉัน…รักนาย…”
 
 
 
 
เกลียดมาก….
 
 
 
 
ปลายนิ้วเอื้อมออกไป จิกลงบนเนื้อไหล่อีกฝ่าย…กดลึก….อยากจะผลักไส…
 
 
 
 
แต่กลับกระชากอีกฝ่ายลงมากอดรัด จูบริมฝีปากที่บอกนั้นแทบขาดใจ
 
 
 
 
เพราะรักมากกว่า
 
 
 
 
เสื้อผ้าดูเกะกะราวกับกระดาษที่ไร้ค่า  สองคนช่วยกันปลดเปลื้องออก…คิเสะสางนิ้วเข้ากับผมสั้นของคนที่ทาบทับ ในขณะที่ปลายนิ้วอีกฝ่ายสอดลึกเข้ามาในร่าง…เขาครางเสียงสะอื้นเมื่อด้านหน้าถูกรูดรั้ง ข่มเสียงเมื่อหัวนมถูกกัดดึงรังแก
 
 
 
เอวขาวยกสูง ขาแยกกว้าง…สองแขนกอดตอบ ตะกุยเล็บกับแผ่นหลังกว้าง เมื่อช่องทางที่ห่างหายจากสัมพันธ์มานานถูกชำเราด้วยความส่วนแข็งชัน…อาโอมิเนะกระแทกตัวเองเข้าลึกราวกับจะทำลายคิเสะที่รองรับ…เหมือนจะบอกว่าหากจะจากไป เขาขอฆ่าให้ตายเสียดีกว่า….
 
 
 
 
แต่ไม่มีใครเคยตายเพราะมีเซ็กซ์กับคนรัก
 
 
 
 
ความเจ็บอันแสนซ่านยั่วเย้าให้เบียดร่างเข้าหา คิเสะกอดตอบ ดึงรั้งแม้หอบเหนื่อยแทบหมดสติ ขาซ้ายถูกทับ เจ็บปวดจนเผลอร้องออกมา…อาโอมิเนะรู้ตัวจึงเอนตัวลงนอน ตวัดร่างที่แนบชิดให้นอนทับอยู่ด้านบนแทน แล้วขยับโยกเสียงหยาบโลน…
 
 
 
 
คิเสะกอดคอคนทำร้ายเอาไว้…กระซิบบอกความในใจ  ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ด้วยความสุขสม
 
 
 
 
วินาทีนั้น เหมือนบางอย่างลุกโชนในร่างกาย
 
 
 
 
แสงสว่างที่เขาไล่ตาม รอคอย และเคยตัดใจ กำลังโอบกอดเขาไว้ในตอนนี้….
 
 
 
 
 
0-0-0-0-0-0-0-0-0
 
 
 
 
คิเสะหลับไปหลายชั่วโมง กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง
 
 
 
 
เขาตบหน้าตัวเองเบาๆ ว่าไม่ได้ฝันไป เมื่อเห็นร่างใหญ่กำลังง่วนอยู่หน้าตู้  ปลายเตียงมีกระเป๋าเดินทางเปิดอ้า เสื้อผ้าบางส่วนของเขาถูกขยุ้มยัดลงไปจนแน่น
 
 
 
อาโอมิเนะหันมาตามเสียง แล้วถาม  “กางเกงในนายเก็บไว้ไหน”
 
 
 
“ห๊ะ? อะไรนะ?”  คิเสะตื่นเต็มตาทันที  “นายจะทำอะไร?”
 
 
 
“เก็บของ ออกเดินทาง”  อีกฝ่ายตอบ ขณะรื้อค้นหากางเกงในต่อ  “อีกไม่กี่วันก็จะแข่งแมตซ์ต่อไปแล้ว ฉันต้องรีบกลับ อ้อ…พานายไปด้วย”
 
 
 
“ไป…ไปไหน?”  คนฟังทำหน้างงสุดขีด
 
 
 
“เอานี่ไปดูละกัน”  คนถูกถามเปิดมือถือแล้วโยนมาบนที่นอน  “บ้าน…ของพวกเรา”
 
 
 
 
คิเสะหยิบมือถือขึ้นมา….บ้านงั้นเหรอ ตอนที่อาโอมิเนะไปเป็นนักบาสอาชีพได้ย้ายเข้าไปอยู่ในอพาตเมนต์นี่นา…แต่ภาพในมือถือคือบ้านจริงๆ  แบบชั้นเดียว พื้นเป็นทางราบตลอดหลัง มีสระว่ายน้ำและอ่างน้ำร้อน เลื่อนภาพต่อไปมีห้องนั่งเล่น ครัว ห้องนอน ห้องออกกำลังกาย…โต๊ะสนุกเกอร์ และ ราวไม้สำหรับกายภาพบำบัด…ที่บ้านทั่วไปไม่ควรมี
 
 
 
 
“….มันไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ไม่ได้ถือสัญชาติอเมริกัน ต้องเดินเรื่องเยอะกว่าจะสร้างบ้านได้ซักหลัง”  แผ่นหลังใหญ่ที่หันให้ เริ่มอธิบายด้วยเสียงแผ่ว  “และต้องใช้เงินมาก…ขนาดที่ว่าต้องแข่งทุกแมตซ์ตลอดปีไม่มีพัก…รวมกับรางวัลของทีม”
 
 
 
 
….นี่คือบ้านที่สร้างเพื่อรอใครบางคนไปอยู่…
 
 
 
“ฉันบอกให้นายตัดใจจากการรักษา…คนเราต้องยอมรับสภาพตัวเองให้ได้ และอยู่กับมันตลอดไป..การหลอกตัวเองว่ายังมีหวังจะเป็นเหมือนเดิมไม่ช่วยอะไรขึ้นมา”  แผ่นหลังนั้นพูดยืดยาว เหมือนบ่น…แต่น้ำเสียงวิงวอนให้เห็นใจ…แต่ยังขี้ขลาดเกินจะสู้หน้า  “แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายตัดใจจากฉัน ทำเกินไปแล้วนะเจ้าบ้า ถึงขนาดตัดขาดการติดต่อ ถ้าฉันมัวแต่บินกลับมาหานาย ต้นสังกัดคงไล่ออก เก็บเงินไม่ได้พอดี…ต้องทนแค่ไหนรู้ไหม”
 
 
 
 
“ฉันเองก็ต้องทนนะไอ้บ้า…”  คิเสะด่ากลับบ้าง…ทั้งที่รู้สึกน้ำคลอตา  “ไอ้งี่เง่าอาโอมิเนจจิ แค่กลับมาอธิบายหน่อย ฉันก็จะรอชั่วชีวิตแน่นอน”
 
 
 
 
จบคำ อาโอมิเนะหันกลับมาปากางเกงในที่หาเจอใส่หน้าคนพูดทันที คิเสะร้องอย่างตกใจ  มองอะไรไม่เห็น
 
 
 
 
ก่อนที่จะถูกรวบเข้าไปกอดด้วยอ้อมแขนใหญ่…ใบหน้าของอีกฝ่ายซบอยู่บนไหล่ของเขา
 
 
 
 
“เพราะไม่อยากให้รอนาน ถึงต้องอดทนทำตามเป้าหมายให้เร็วที่สุด  ตอนนี้ไม่ต้องรออีกแล้ว…มาอยู่ด้วยกัน…ตลอดไป”
 
 
 
 
….ขอโทษ…ที่ทิ้งนายเอาไว้….คำกระซิบแทบไร้เสียงนั้น ดังพร้อมรอยชื้นจากหยดน้ำที่ซึมผ่านผ้ามากระทบหัวไหล่
 
 
 
 
คิเสะยกมือขึ้นโอบกอดแผ่นหลังใหญ่เอาไว้…อีกมือลูบหัว…อ่อนโยนประโลมปลอบ
 
 
 
 
ทั้งๆที่ตัวเองก็ใบหน้าอาบน้ำตา…
 
 
34145251_p9
 
( ขอบคุณภาพจากพี่ลัล Lulla ค่ะ ;w; )
 
 
 
 
 
0-0-0-0-0-0-0-0-0
 
 
 
 
การย้ายไปอยู่ด้วยกันแบบสายฟ้าแลบ (หรือที่คุโรโกะเรียกว่า บุกมาฉุด) ครั้งนี้ สร้างความแตกตื่นให้กับครอบครัวและคนรู้จัก
 
 
 
 
อาโอมิเนะคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นต่อหน้าพ่อแม่ของคิเสะอยู่เป็นชั่วโมง ก่อนจะได้คำตอบว่า ‘ช่วยดูแลเรียวตะแทนพวกเราด้วย’
 
 
 
 
คิเสะส่งเมลหาคนรู้จัก แจ้งจากการย้ายที่อยู่ให้ทุกคนระหว่างจัดของลงกระเป๋า  ทันให้บางคนวิ่งมาส่งที่สนามบินเท่านั้น…ใครจะไปเชื่อว่าคุโรโกะที่เคยเมินคิเสะ จะเป็นคนเดียวกับที่กอดเขาเอาไว้นานที่สุดก่อนจาก….ส่วนคางามิ เดินไปต่อยกับอาโอมิเนะ เห็นเจ้าตัวบอกว่าเป็นการอวยพรแบบหนึ่ง
 
 
 
มิโดริมะโทรมาโวยวายไล่หลัง บอกว่าจะส่งประวัติการรักษาของคิเสะตามไปให้ที่โรงพยาบาลในอเมริกา เพื่อการทำกายภาพบำบัดที่ถูกต้องและต่อเนื่อง  คนรู้จักที่เหลือพลาดโอกาศมาส่ง ได้แต่โทรมาอวยพร และก่นด่าอาโอมิเนะแถม
 
 
 
 
ไปถึงบ้านใหม่ของทั้งคู่  อาโอมิเนะจับคิเสะไปยืนอยู่หน้าโต๊ะสนุกเกอร์ ลองให้จับไม้คิวว่าเหมาะมือไหม อธิบายว่าเป็นกีฬาที่ใช้แค่ขายืน เดิน ไม่หนักแรงนัก
 
 
 
 
“อย่างนาย นอกจากกีฬาแล้ว อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง”
 
 
 
 
เป็นคำกล่าวที่ใจร้ายมาก แต่คิเสะก็ยอมรับตามนั้น  (มิน่าเขาถึงไม่ค่อยรุ่งกับการเขียนคอลัมน์)
 
 
 
 
อาโอมิเนะทิ้ง DVD สอนและแข่งสนุกเกอร์เอาไว้ให้ ก่อนจะออกจากบ้านไปแข่งแมตซ์อาชีพ
 
 
 
 
เพื่อจะกลับมาพบว่า คิเสะกลายเป็นโปรสนุกเกอร์ไปเสียแล้ว…
 
 
 
 
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เมื่อลงคอร์สติวภาษาอังกฤษจบลง คิเสะก็เริ่มลงสมัครแข่งขันจากรายการเล็กๆก่อน ทว่า…ไม่เคยนำทริคเด็ดของนักกีฬาดังคนไหนมาก๊อปปี้ใช้ในการแข่งเลย
 
 
 
 
“อาโอมิเนจจิเคยบอกว่า ฉันไม่มีสไตล์ของตัวเองตอนเล่นบาสนี่นา….ครั้งนี้แหล่ะ ฉันจะพบวิถีของตัวเองให้ได้”
 
 
 
 
 
เวลากับคนสองคน ตอนนี้เริ่มเคลื่อนไปพร้อมกันอีกครั้ง
 
 
 
 
 
…..
…………..
……………………..
 
 
 
 
1 ปีผ่านไป ในบ่ายวันหนึ่ง…ข้างๆโล่ห์เกียรติคุณบาสเก็ตบอลอาชีพ ก็มีถ้วยรางวัลแชมป์สนุกเกอร์ระดับรัฐมาวางเคียงข้าง
 
 
 
…สะท้อนแสงแดด ส่องสว่างอยู่ในห้องของทั้งสองคน….
 
 
 
 
 
 
 
And then you realize that wherever you go. There you are.
 
Time won’t stop. So we keep moving on.
 
Yesterday ‘s night turns to light. Tomorrow ‘s night returns to light.
 
 
Be the light.
 
 
-End-

Comments on: "[KnB : AoKi] – One Shot : Be the light." (24)

  1. เนื่องจาก ในเอนทรีย์โพสต์แล้วห้ามแก้ เลยขอมาคุยในนี้แทนค่ะ //อนาถมาก เมนต์แรกเป็นของตัวเอง ฮือ ;w;

    ฟิคเรื่องนี้ แต่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเพลง Be the light ของ One OK Rock ค่ะ ธีมคือแสงสว่างของชีวิต (เป็นธีมของคู่ไฟดำเขาด้วยล่ะ แต่เราขอมาใช้กับฟ้าเหลืองบ้าง ❤ )

    ระหว่างที่เขียนเรื่องนี้ เราก็ปั่นไททั่นไปด้วย แต่เพราะทิ้งค้างไว้ เลยเหมือนตะกอนอะไรบางอย่าง ทนไม่ได้ กลับมาต่อให้จบค่ะ orz

    ถ้าคิเสะล้มลงจะทำยังไง? สำหรับเรา คิเสะเข็มแข็งมากนะคะ ทั้งการที่ยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ ทั้งการไล่ตามอาโอมิเนะ….แล้วถ้าวันหนึ่งไล่ตามไม่ได้ล่ะ? จะมีชีวิตต่อไปยังไง? ฟิคเรื่องนี้จึงเกิดมาค่ะ ,,- -,,

    เรียกว่า เขียนตามใจตัวเอง(โดยไม่ OOC) ล้วนๆ หากอ่านแล้วถูกใจซักนิด เมนต์บอกด้วยนะคะ มาช๊วยต้องการความรักและกำลังใจ ผ่านคอมเมนต์ค่ะ ;w;

    ขอบคุณที่แวะมา และเอ็นดูคีจัง (อาโฮ่ก็บ้าง นิดหน่อย) ❤

  2. Lulla said:

    แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงT_______T
    ร้องไห้ด้วยความสงสารคีจัง แล้วจบท้ายด้วยความซึ้งใจ ฮือออออโฮววววววว
    คีจังลูกแม่เข้มแข็งมากๆๆๆชอบคีจังที่เป็นแบบนี้มากๆจ้ะแงงงงง เจ็บแต่ก็ยอมรับแล้วอยู่กับมัน
    ถึงคีจังจะขี้แย แต่พอถึงเวลาที่เจ็บปวดถึงขีดสุดจริงๆก็ยังยืนหยัดได้ในที่สุด โดยไม่ต้องรอให้มิเนะมาง้อ
    ถึงตอนหลังจะมาง้อช้าไปหน่อยก็เถอะก๊ากก แต่ก็ดีใจแงงง มิเนะนายหล่อมากกกก
    แต่ยังฉลาดน้อยเหมือนเดิม ทำอะไรไม่ถงไม่ถามซักคำ ปล่อยให้คีจังช้ำใจข้ามปีแง้ๆๆ
    แต่ทำอะไรน่ารักเว่อร์อ่ะแงงง เล่นบาสเก็บตังค์ซื้อบ้าน แล้วค่อยบุกมาฉุดกร๊ากกๆๆ
    ฟินมากจ้ะแงงงงง นี่อ่านไปซับน้ำตาเป็นระยะ ไม่ทนกับอะไรแบบนี้ ยิ่งตอนง้อแล้วเถียงกันนี่
    ฮืออออ แม่ยกจิตใจอ่อนยวบตามคิเสะคุงเบยยยTwT
    ชอบมากๆๆๆๆจ้ะ ชอบฟ้าเหลืองเวลาดราม่าเจ็บๆแล้วจบฟินๆแบบเน้ มาโชเขียนได้ตรงกะในหัวพี่มากแงงงงงงง (นี่ก็อู้มาอ่านฟิคฟ้าเหลืองเหมือนกัน ก๊าก)
    เขียนอีกเยอะๆนะจ๊ะ อยากอ่านอารมณ์นี้แต่เป็นเรื่องยาวมากเลย โฮววว มาโชสู้ๆๆ

    • //กระโดดกอดพี่ลัลลลลล// ฮืออออออออออ ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่าาาาาา (;{};

      ในหัวเก๊า คีจังเป็นหมาน้อยผู้เข้มแข็งค่ะ ก๊ากกก แงงงงง ถึงจะเจ็บแค่ไหน แต่ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำเด็ดขาด เป็น ego ของโมเดรุ อุ๊ๆๆๆๆๆๆ (เอคโค่)

      ส่วนมิเนะ มันบ้าค่ะ ก๊ากกก แต่คิดแล้ว มิเนะคงต้องทำแบบนี้เพราะถ้ามัวแต่วนไปวนมา ไม่ต้องเก็บตังค์พอดี ส่วนนี้คีจังก็ผิดด้วยเพราะดันโกรธจนเปลี่ยนมือถือกับเมล ฮาาาา แต่สุดท้าย…ก็ได้อยู่ด้วยกันค่ะ เก๊าชอบจบแบบฟินที่สุด ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาแค่ไหน เชื่อว่าคู่นี้ลงเอยกันได้ อ๊าง ,,- -,,

      อารมณ์แบบนี้ รอฟิคไทโชเลยค่ะ ก๊าซซซซซ XD

  3. โฮรววววว อ่านไปก็ร้องโอร๋งเอร๋งไปค่ะ ;;w;; ธีม be the light นี่มัน ;;;w;;; สงสารคีจังมากกกกกก (ตอนอ่านช่วงแรกทำหน้าแบบนี้ http://cdn.alltheragefaces.com/img/faces/large/sad-crying-l.png ไปอ่านไปค่ะ) แต่ตอนจบนี่ทำหน้าแบบนี้ http://i3.kym-cdn.com/entries/icons/original/000/007/754/happy-cuteness-overload-l.png ฮือๆๆ ดีใจด้วยนะคีจัง!! ชอบซีนที่สองคนนั้นทะเลาะกันมากค่ะ ทั้งขมขื่น ความรู้สึกเจ็บปวดของคิเสะที่สูญเสียชีวิตนักกีฬาไปแล้วด้วย มันใช่มาก แต่สุดท้ายพอได้รู้ความจริงแล้วก็น้ำตาซึมอีกรอบเลยค่ะ โฮว!! อาโอมิเนะการที่นายปล่อยให้คีจังช้ำใจเป็นปีแบบนี้นี่มัน…!! #ป้าจับตีก้นได้มั้ย แล้วจะรออ่านฟิคฟ้าเหลืองอันอื่นๆของพี่มาโชนะคะ~~~ แอร๊งๆๆๆ
    ปล. คุโรโกะเป็นครูอนุบาล!! น่ารักมากค่ะแอร๊ยยย #จะเป็นครูที่เด็กๆหาตัวไม่ค่อยเจอป่าวนะ #คุงคูคุโรโกะปายหนาย #ผมอยู่นี่ตลอดอยู่แล้วครับ คางามิเป็นนักผจญเพลิงนี่เข้าสุดๆเลยค่ะ เท่มาก อย่างแมนนน ,,- -,,

    • วิ่งมากอดปั๊บบบบบบบบบบบบบ แงงงงงงง //ขำ meme ก๊ากกกก XD

      โอร๋งๆ เพลงนี้ถ้ามีในคอนพี่ต้องร้องไห้แน่เลยอ่ะ แงงงง คือฟังจนอิน อินจนแต่ง พรากกกก orz

      คีจังที่พยายามอย่างเดียวดาย กับอาโฮ่ที่พยายามเพื่อคีจัง เพราะปกติมีแต่คีจังพยายามเพื่ออาโฮ่ เลยเกิดเป็นเรืองนี้ออกมาจ้ะ ก๊ากกกกกก //กอดปั๊บบบบ ดีใจที่ปั๊บรักคีจัง ❤

      ปล. ในอนาคตอยากจะเขียนไฟดำล่ะ คุงคูที่มิสไดเรคชั่นได้กับนักดับเพลิงตัวโข่ง XD

  4. โฮรววววว อ่านไปก็ร้องโอร๋งเอร๋งไปค่ะ ;;w;; ธีม be the light นี่มัน ;;;w;;; สงสารคีจังมากกกกกก (ตอนอ่านช่วงแรกทำหน้าแบบนี้ http://cdn.alltheragefaces.com/img/faces/large/sad-crying-l.png ไปอ่านไปค่ะ) แต่ตอนจบนี่ทำหน้าแบบนี้ http://i3.kym-cdn.com/entries/icons/original/000/007/754/happy-cuteness-overload-l.png ฮือๆๆ ดีใจด้วยนะคีจัง!! ชอบซีนที่สองคนนั้นทะเลาะกันมากค่ะ ทั้งขมขื่น ความรู้สึกเจ็บปวดของคิเสะที่สูญเสียชีวิตนักกีฬาไปแล้วด้วย มันใช่มาก แต่สุดท้ายพอได้รู้ความจริงแล้วก็น้ำตาซึมอีกรอบเลยค่ะ โฮว!! อาโอมิเนะการที่นายปล่อยให้คีจังช้ำใจเป็นปีแบบนี้นี่มัน…!! #ป้าจับตีก้นได้มั้ย แล้วจะรออ่านฟิคฟ้าเหลืองอันอื่นๆของพี่มาโชนะคะ~~~ แอร๊งๆๆๆ
    ปล. คุโรโกะเป็นครูอนุบาล!! น่ารักมากค่ะแอร๊ยยย #จะเป็นครูที่เด็กๆหาตัวไม่ค่อยเจอป่าวนะ #คุงคูคุโรโกะปายหนาย #ผมอยู่นี่ตลอดอยู่แล้วครับ คางามิเป็นนักผจญเพลิงนี่เข้าสุดๆเลยค่ะ เท่มาก อย่างแมนนน ,,- -,,

  5. fukaze said:

    ฟิคร้องไห้รับอรุณ โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    อาโฮ่มิเนจจิ บร๊าาาาาาาาาาาาา บากะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    โอ๊ยยยย อ่านแล้วอินมากคะ เขียนได้สมเป็นคิเสะจินที่สุด ไรเตอร์เก่งมาก ทำเอาเราแทบบ้าได้ขนาดนี้ ดาเมจมาก คีจางงงงงงงงงงงงงงงง~~~~~~~~ //TTOTT\\

    คิเสะเป็นคนขี้โกหก(ไม่เชิงโกหก แค่ชอบปิดบังความรู้สึกข้างใน) แถมเป็นคนเกลียดการยอมแพ้ หรือเสียฟอร์มสุดๆ เวลามีอะไรก็ตามที แกจะซ้อนความคิดความรู้สึกทุกอย่างภายใต้รอยยิ้ม(โง่ๆ)นั้น แล้วเนียนทำให้มันเป็นเรื่องตลกไป (ฮือๆๆ……….เจ้าหมาบ้า)
    แถมยังเป็นคนที่ชอบเลิกเส้นทางขรุขระมากกว่าสบาย เลยออกมาในรูปแบบเข้มแข็ง+มาโซสุดติ่ง

    คีจังสุดเลิฟของเรา……….โฮววววววว แล้วเจ้าบ้าอาโฮ่มิเนจจิก็ไร้ความละเอียดอ่อนสิ้นดี บากะๆๆๆๆๆ
    คิดบ้างไหมว่า ถ้าไม่ใช่คนอ่อนโยนแบบสุดติ่ง ยึดมั่นถือมั่นแบบสุดขั้ว แล้วรักไอ้โง่ววววอย่างนายอย่างสุดใจ ถ้าไม่ใช่คีจังของเรา ไอ้ที่ลงแรงไปทำมันโคดจะสูญเปล่าเลยนะเฟ้ยยยยยยยยยยยย (กระชากคอเสื้ออาโฮ่เขย่าแบบรัวๆ) หนึ่งปี!!!!!! หนึ่งปีเชียวนะเฟ้ยยยยยย อาโฮ่มิเนจจิ!!!!!!!

    แล้ววิธีการง้อนายมันก็………………โว้ยยยยยยยยยย อันดับแรกปล้ำ อันดับสองจูบ อันดับสามลากขึ้นเตียงก่อนขอแต่งงาน บ้าไปแล้ว อร๊ายยยยยยยยยยยยยยย (ขอโทษไรเตอร์ด้วย ตอนนี้คุมสติไม่อยู่แบ้ววอะ)

    //กระโดดกอดไรเตอร์// ขอบคุณสำหรับฟิครับอรุณนี้มากๆคร๊าาาาาา (ถึงจะร้องไห้คาออฟฟิสก็เหอะ T^T)

    • โฮวววววววววววววววววววววว ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะคุณ fukaze หงิงๆๆๆๆๆๆๆ ;////;

      แง้!!! ดีใจที่มีคนเข้าใจความเป็นคีจังขนาดนี้จริงๆค่ะ โฮวววว อ่านแล้วพยักหน้างึกๆๆๆตลอดเวลาเลย ใช่ค่ะ เจ้าโมเดรุที่ยิ้มสู้ที่สถานการณ์ ซ่อนความเจ็บเอาไว้เนี่ย ฮืออออออ ขี้แงแต่แข็งแกร่ง ก็มีแต่คีจังที่ทนอาโฮ่ได้จริงค่ะ (ก๊ากกกกกก) อาโฮ่ก็นะ ทึ่มๆ แต่ยังดีที่เป็นคนทำอะไรก็สุดโต่งเพื่อคนที่รัก (อ้างอิงจากตอนต่อยไฮซากิ หมัดแฟนหนุ่ม ก๊ากกกก)

      กอดๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จริงๆค่ะ เก๊าจะพยายามต่อไปนะคะ ;w;

  6. จากความคิดของคนที่ไม่ได้อ่านคุโรโกะและอ่านเฉพาะฟิคของคุณมาโชว
    เราชอบความเข้มแข็งของคิเสะมากเลยค่ะ
    ตั้งแต่วันที่วิ่งตามไปจนในวันที่ไม่มีคนข้างๆอีกต่อไป
    เจ็บเจียนตายเลยจริงๆ
    …ต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงจะส่องสว่างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหวังว่าเขาจะกลับมา
    อดทนจนวันนึงที่ไม่มีแสงกับเงาอีกต่อไป แต่ส่องสว่างไปด้วยกัน
    ขอบคุณที่คุณมาโชวเขียนให้จบแบบนี้นะกั๊บ

    เป็นแฟนผลงานเสมอค่า

    ปล./ อ่านที่ออฟฟิศแล้วอยากมุดลงไปพรากใต้โต๊ะ แงง

    • รวบกอดคุณเกตู๊วววว โฮววววว ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่าาาา ;w;

      อยากจะบอกว่า เก๊าดีใจมากเลยที่เขียนแล้วถึงไม่ได้อ่านคุโรโกะก็รู้เรื่องได้ แงงงงง ถือว่าเป็นความสำเร็จค่ะ ก๊ากกกกกก ;w;

      ในเรื่องจริง คิเสะก็ต้องวิ่งตามและถูกทิ้งจริงๆค่ะ พรากกก (ในเรื่องจริงไม่มีคอขาดบาดตาย แต่ก็เจ็บ orz) คีจังเป็นคนเข็มแข็งจริงๆค่ะ แม้จะถูกมองว่าขี้แยตลอด(ก็จริง ก๊ากก) ,,- -,,

      กอดคุณเกตู๊ว ขอบคุณที่ติดตามเสมอนะคะ //ซับน้ำตาให้ หงิงๆ

  7. โอ้ยย เจ็บปวดมาก พี่แม่งง แม่งงแงงง //น้ำตาท่วมม
    ม่างโคดเข้าใจคิเสะ มิเนะแม่งหล่อมากแต่ก็น่าตีที่เงียบหายไปเลย
    คนธรรมดาเจอแบบคีจังนี่คิดสั้นกันได้ง่ายๆแน่ๆเลยค่ะ
    ฮืออ แต่ชอบมากกับปฏิกิริยามิเนะตอนคิเสะบอกว่าจบแล้วสุดเลยอ่ะ ดูรักมากแบบไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แงงงงง ชอบบบ

    คีจังเข้มเเข็งมากจริงๆ สุดท้ายก็ได้ส่องสว่างอยู่ข้างกันเลย ซึ้งมากตอนอ่านนี้น้ำตาอาบเเบ่บ…อาบหน้าอ่ะพี่ สะอื้นเลย อินมาก แงงงง TT 7 TT

    • กอดยูไว้แล้วซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จ้าาาา (;w;

      ก๊ากกกกก จริงด้วย! ถ้าคนทั่วไปเจอพูดแบบนั้นใส่ + หายหัวไปเลย คงโดดตึกตาย (แม้คีจังจะเป็นฝ่ายทิ้งเบอร์+เมล แต่ก็ติดต่อผ่านคนอื่นได้นะเฟ้ยมิเนะะะะ) ขาเสียชีวิตก็แย่พอแล้วเนอะ ฮึกๆ orz

      และด้วยความงั่งของมิเนะ….รักจนไม่รู้จะทำยังไง ถึงกับคุกเข่านี่พี่ก็ว่ามันสุดๆของมิเนะแล้วล่ะ ฮือๆๆๆ (;w;

      //กอดยูอีกรอบ สั่งน้ำมูกนะ ปื้ดดดดด //โดนชก แงงงง ขอบคุณจ้าา

  8. //เขยิบเขามาเม้นท์อย่างอายๆ
    โฮรววว จะว่ายังไงดีคือเป็นฟิคดราม่าที่ตรงกับจริตเรามากเลย ยิ่งอะไรที่เคะเป็นฝ่ายลำเค็ญนี่เราจะโปรดมากเป็นพิเศษ //แย่มาก
    เราชอบที่คิเสะเรื่องนี้ที่แข้มแข็งมาก แล้วก็ชอบฉากที่คิเสะแบบจะผลักอาโอะไปหรือรวบมากอดดี แล้วสุดท้ายก็เลือกรวบมากอด แง๊ คีจังรักอาโอะมากเกินไปแล้ว ;; v ;;) //หัวใจปวดร้าววว
    ส่วนอาโอะอ่านแรกๆนี่เราแบบเลว นายมันเลววว กล้าพูดอย่างงั้นได้ยังไงหาาา (อัดอั้นตันใจมาก ฮา) อ่านมาถึงตอนจบ อืม… พูดอย่างงั้นก็สมเป็นอาโอะดีอ่ะนะ ไอประโยคกำกวมดูเหมือนจะไม่ห่วงแต่ความจริงแล้วห่วงมากนั้น แต่เรื่องหายไปเลยตั้งปีนี่ก็ยังน่าตีอยู่ ฮา
    สรุปคือ ปลื้มมากค่ะ เดี๋ยวเราจะไปไล่อ่านเรื่องอื่นต่อ U///U) ขอบคุณที่ผลิตฟิคดีๆมาให้อ่านนะคะ เราไม่ได้อ่านฟิคแล้วมีอารมณ์ร่วมอย่างงี้มาซักพักแล้ว //(ไม่ได้เมนท์ฟิคชาวบ้านมาซักพักแล้วเหมือนกัน เขินจังเลย o(–( )

    • กอดพร้าววว ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จ้าาา ;w;

      ก๊ากกก เคะลำเค็ญนี่ชอบเหมือนกันเลยจ้ะ แงงงง คีจังเลยมักจะลำบากเสมอ (ในเรื่องจริงก็ด้วยเนอะ 55555555+) เกลียดมากแต่ก็รักมาก เลยเป็นแบบนี้ล่ะจ้ะ TwT

      อาโฮ่นี่ สไตล์รักและห่วงนะ แต่ไม่รู้จะทำไง ปากก็พูดได้แต่ตรงๆ ฮาาาาา //จับอาโฮ่ไว้ให้ต่อยๆๆๆๆ

      หงิงๆ ดีใจที่อ่านแล้วชอบนะคะ คอมเมนต์นี่แหล่ะของสำคัญสำหรับคนเขียนเลย ได้ทีอยากจะปลื้มมาก ขอบคุณค่าาา T////T

  9. lilac said:

    แม้จะมีคำกล่าว “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” แต่บางเรื่องก็ควรพูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกนะ อาโฮ่นี่
    ปล่อยให้คีจังคิดมาก พยายามอยู่คนเดียวตั้งเป็นปี เรื่องสำคัญควรพูดให้หมด ทำไมไม่พูดห้ะ

    คีจังเข้มแข็งมาก พยายามได้ดีมาก ;w;

    ว่าแต่อาโฮ่เข้าบ้านคีจังมาได้ไงอะ (แฝงตัวมากับความมืด? #ผิด)
    แล้วเตรียมวีซ่าให้คีจังย้ายไปอยู่ด้วยได้ไง

    • แอร๊ยยยย วิ่งมาตอบคุณไลแลคอีกคน ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่า ,,- -,,

      กรั๊กๆๆๆๆ จริงๆค่ะ อาโฮ่งี่เง่า คิดเองเออเอง ไม่ได้ถามสุขภาพซ้ากกกกกคำ //ยังดีที่คีจังเข้มแข็งมาก ;w;

      ประเด็นเข้าบ้าน แฝงมากับความมืด ก๊ากกกก แงงง ไม่ได้ใส่เอาไว้ แต่เข้ามาเพราะพ่อแม่เปิดให้ค่ะ พรากกก //แล้วพ่อกับแม่ก็คงสงสัย…ลูกตู คุยกับเพื่อนนานข้ามคืนเลย… (ปิดหน้า)
      ส่วนวีซ่า อาโฮ่เองก็ยังไม่ได้กรีนการ์ดเนอะคะ เพิ่งไปอยู่ปีเดียว คีจังนี่คงเป็นวีซ่าB1ท่องเที่ยวไปก่อนค่ะ จริงๆอยากให้ K1 วีซ่าคู่หมั้นจัง แต่อาโฮ่อยู่ไม่นานพอ (_////_ (ปล. วีซ่านี่เบลอไปก่อนกั๊บ เอาพอสังเขป ถ้าเขียนจะต้องหาข้อมูลยาว แง้ X’D)

  10. เพลงดวงดาว said:

    อ่านไปร้องไห้ไป แต่ก็ชอบความดราม่าบีบหัวใจแบบนี้มากกกกๆๆๆเลยค่า >___<

    อยากกอดคิเสะมากๆเลย อาจจะดูง้องแง้งขี้แง แต่นายเข็มแข็งมาก เข็มแข็งที่สุดจริงๆ
    ในวันที่น่าจะไปได้ดีทีสุด จู่ๆกลับต้องมาเสียทุกอย่างไปหมด ทั้งร่างกาย ทั้งอนาคต ทั้งสิ่งที่รัก ….ทั้งคนที่อยากให้อยู่เคียงข้าง TT[]TT

    คีจังที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียว พยายามล้มลุกคลุกคลานเพื่อจะขึ้นยืนขึ้นใหม่ให้ได้อยู่คนเดียว แบบนี้มันโหดร้ายขนาดไหนรู้บ้างรึเปล่าตาบ้าาาา!!! //ฮือออ

    /ลองจินตนาการตามถึงตอนที่คิเสะติดอยู่ในกองไฟแล้วรู้สึกหลอนไปเลยอ่ะค่ะ ทั้งความร้อนของเปลวไฟที่กำลังแผดเผาร่างกายตัวเอง กลิ่นไหม้ เสียงกรีดร้อง ท่ามกลางความตายของคนมากมายแบบนั้น มันน่ากลัวมากจริงๆนะ TT^TT /

    ช่วงแรกๆโกรธมิเนะมากนะที่ไม่โผล่หน้ามาเลย แถมยังทำลายความหวังอย่างไร้เยื่อไยซะขนาดนั้นอีก

    แต่พอมิเนะกลับมาหา(มาฉุดไปอยู่ด้วย!?)แล้วอดเพลียขึ้นมานิดๆไม่ได้ว่าในสมองนายมีอะไรกะเค้าบ้างมั๊ยน่ะ?? -__- ตัวเองพยายามแทบตายเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันน่าประทับใจมากก็จริง แต่ปล่อยเค้าทิ้งไว้ตั้งนาน ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลยซักคำนี่มันก็แย่จนไม่อยากให้อภัยเลยนะ……
    /อยากด่าอีกแต่ด่าไม่ออกแล้ว แงง ;[];/

    แต่นายก็ง้อได้โฮกมากกกกกกกก ในที่สุดก็ยอมบอกว่ารักให้ได้ยินซักทีนะ (ปลื้มมากกกกค่า) ให้คุกเข่าหรือก้มหัวขอร้องก็ยอมทั้งนั้น (ทำได้ทุกอย่างยกเว้นบอกให้เค้ารู้อ่ะนะ) เพราะรักมากจริงๆ แต่มิเนะก็อาโฮ่เกินจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วสินะ Q____Q
    /เออ…อภัยให้ก็ได้ น้ำตาไหลตามไป ; ;/

    อาจต้องล้มแล้วล้มอีก อาจต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า อาจต้องผ่านความยากลำบากมากมาย แต่ในที่สุด… เราก็จะเปล่งแสงอยู่เคียงคู่กันสินะคะ //ซาบซึ้ง TTwTT

    ปล. แอบฮาตรงที่บากะไปต่อยกะอาโฮ่เป็นการอวยพรก่อนจาก!!! สมองกล้ามเนื้อด้วยกันย่อมเข้าใจกันด้วยกำปั้นงั้นเหรอออ~ -w-“

    • /ลองจินตนาการตามถึงตอนที่คิเสะติดอยู่ในกองไฟแล้วรู้สึกหลอนไปเลยอ่ะค่ะ ทั้งความร้อนของเปลวไฟที่กำลังแผดเผาร่างกายตัวเอง กลิ่นไหม้ เสียงกรีดร้อง ท่ามกลางความตายของคนมากมายแบบนั้น มันน่ากลัวมากจริงๆนะ TT^TT /
      ^
      ^
      โฮร่ววววววว มันน่ากลัวมาจริงๆด้วย การที่คิเสะรอดมาโดยประสาทไม่หลอน นอนฝันร้ายทุกคืนมันเก่งมากจริงๆคะ T[]T ลูกสาวแม่เก่งที่ซูดดดดดดด

  11. แงงงงงง กว่าคีจังจะเจอความสุขช่างนานเหลือเกินอ่าาาาาาาาาาา
    ร้องไห้ตามเลยค่ะ ซาบซึ้งมากกกกกก อาโฮ่มันซึนจิงๆๆใช่มั๊ยค่ะเนี้ยยยยยยย

  12. สุดยอดมากอ่ะ..
    เปิดอ่านมาเเบบว่าสงสารคีจังงง QwQ
    จากที่มีกลายเป็นไม่มี….มันช่างบีบรัดหัวใจเเท้เลย…
    น่าสงสารมากอ่ะ ต้องทนเข้มเเข็งเรือยมา บางทีก็ต้องฝืนยิ้มทำให้ดูเหมือนไม่เป็นอะไร
    สุดท้ายคีจังก็ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องหวังพึ่งใคร
    ตอนแรกทำเอาเราหมดหวังเรื่องคีจังกับอาโฮ่ไปล่ะ…
    เหอๆ อาโอ่ก็นะ…วิธีง้อแบบนี้เนี่ย ถ้าไม่ใช่คีจังใช้ไม่ได้ผลนะรู้เปล่า =..=
    พออ่านจบเเล้วนี่แบบว่ายิ้มออกเลยอ่ะ
    ชอบประโยคที่บอกว่า ไม่เคยนำทริคเด็ดของนักกีฬาดังคนไหนมาก๊อปปี้ใช้ในการแข่งเลย นี่มันแบบว่าสุดยอดอ่ะ! ปกติถึงเเม้คีจังจะก็อปเเต่เราก็ชอบอยู่ดี;w; ยิ่งไม่ก็อปนี่เเบบ กรี๊ดคีจังคนเก่งของเจ๊(?)
    ชอบจริงๆ Aokise forever
    ขอบคุณไรเตอร์ที่เขียนฟิคดีๆมาให้เราอ่านกัน

  13. ฟิคดีมากจนเราร้องไห้เลยค่ะ ฮือออ ตอนแรกเราก็งงๆ อย่างคีจังหรอโดนปฎิเสธ ไหนจะเรื่องไม่มีงานอีก นี่มันอะไร อ่านไปแบบงงหนักมาก จนน้อง ครก ยื่นมือให้คีจังแล้วลูกเราหันไปหยิบไม้ค้ำ… ตอนนั้นเหมือนหัวใจหยุดเต้นเลยจริงๆค่ะ T-T อึ้งจนอ้าปากค้างอยู่หน้าคอม คิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องจะพลิกขนาดนี้ // ตอนรู้ว่าอาโฮ่พูดกลับมาว่าให้คีจังตัดใจเรื่องขา เลือดขึ้นหน้าหนักมาก!! นี่หรอ? คือสิ่งที่คนเป็นแฟนเขาทำให้กันอะ ไม่ให้กำลังใจแล้วยังบั่นทอนแบบนี้น่ะหรอ? // ตอนย้อนอดีตถึงสาเหตุใจเราปวดมาก ฮือ ทำไมนะทำไม ทำไมโชคชะตาถึงโหดร้ายแบบนี้ กำลังไปได้ดีเลยอะ นักบาส NBA เชียวนะ T.T // ตอนมิเนะกลับมาใจเรากระตุกวาบเลย กลับมาทำไม? มาตอนที่ลูกเราสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วเนี่ยนะ ตอนคิเสะต้องการเธอไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมถึงไม่มาหาเลย แล้วยังทิ้งประโยคใจร้ายแบบนั้นไว้อีก แต่พอเฉลยรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ร้องไห้เลย แงงงงงงง TOT ร้องแบบโมโหๆด้วย5555555555 ทำไมแกไม่บอกคีจังก่อนนน ทำอะไรโดยไม่บอกแบบนี้คนรอเขาเสียใจแค่ไหนรู้บ้างไหม! (สูดน้ำมูก) // ประทับใจตอนจบหนังมาก นึกเป็นภาพในหัวแล้วน้ำตาพาลจะไหลอีกรอบ ขออนุญาตยกประโยคในฟิคมานะคะ

    1 ปีผ่านไป ในบ่ายวันหนึ่ง…ข้างๆโล่ห์เกียรติคุณบาสเก็ตบอลอาชีพ ก็มีถ้วยรางวัลแชมป์สนุกเกอร์ระดับรัฐมาวางเคียงข้าง

    …สะท้อนแสงแดด ส่องสว่างอยู่ในห้องของทั้งสองคน….

    เนี่ย คือแบบ T___T ค่ะ ยอมแล้วค่ะคุงไรเตอร์ โฮวววว ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานล้ำค่าแบบนี้ขึ้นมานะคะ ขอบคุณจริงๆ เรืองนี้จะเป็นหนึ่งในสตอรี่ฟิคที่เราประทับใจแบบสุดๆแน่นอนค่ะ ❤

  14. อ้าว แง เม้นไปตั้งเยอะ ทำไมคอมเม้นไม่ขึ้นน้อ ;_;

  15. ทานตวสีเหลือง said:

    เกิดจากอยู่ๆก็อยากอ่านฟ้าเหลืองค่ะ แล้วมาเจอฟิคเรื่องเรื่องนี้ แอบเสียดายที่เจอช้าไปจริงๆค่ะ ตอนเห็นชื่อคนแต่งก็คิดไว้แล้วว่าต้องสนุกแน่ๆ เพราะเคยอ่านนิยายเรื่องก่อนๆมาแล้ว
    .
    อ่านไปปาดน้ำตาไปค่ะ เกือบจะแช่งมิเนะไปแล้ว สารภาพว่าตอนที่นังปรี่มากอดขาแอบอยากให้คิเสะถีบนังจริงๆ5555คือเข้าใจทั้งสองฝั่งแต่นายก็ควรบอกให้ชัดเจนกว่านี้สิมิเนะ!!!!

Leave a reply to ทานตวสีเหลือง Cancel reply