macho_luglio 's cargo, Mostly fanfictions.

17-05-17-20-03-46-529_deco

สารบัญรวมตอนและรายละเอียดการวางขาย

1.

โทรศัพท์บ้านแผดเสียงดังลั่น ฝุ่นที่เกาะอยู่บนเครื่องฟุ้งกระจายตามแรงสั่น

ในยุคที่แทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือติดตัว เสียงกริ่งของโทรศัพท์บ้านจึงฟังไม่คุ้นนัก หลายอึดใจกว่าเจ้าของบ้านจะจำได้ว่ามีเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้อยู่ เขายกหูฟังขึ้นแนบใบหน้า คันจมูกยุบยิบเพราะละอองสกปรก

“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างเพราะฉุกคิดว่าคนโทรหาอาจจะมาถึงแล้ว

ทว่า หน้าบ้านไร้แขกมาเยือน จังหวะเดียวกับปลายสายกล่าวคำขอโทษ คนฟังยิ้มบาง ไม่เชิงเสียใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียดาย

“ผมนึกห่วงอยู่ว่าคุณจะเดินทางลำบาก ปีนี้หิมะตกเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน…ครับ…ไม่มีอะไรขาดเหลือครับ ผมอยู่ได้แน่นอน…ครับ…ไว้เจอกันตอนฤดูใบไม้ผลิดีกว่า”

เสียงหัวเราะสั้นๆ ตบท้ายบทสนทนา

“คุณคิดว่าที่นี่มีสัญญาณมือถือชัดเจนเหรอครับ ยิ่งหิมะตกแบบนี้ ลืมไปได้เลย โชคดีแค่ไหนที่สายโทรศัพท์ยังใช้ได้”

‘ถ้าห่วงก็โทรมาบ่อยๆ แล้วกัน’ อยากจะลงท้ายเช่นนั้น แต่ดูจะเลยเถิดเกินไป

หูฟังวางคืนลงบนตัวเครื่อง มือกร้านปัดฝุ่นหนาเตอะ…ตั้งใจจะทำความสะอาดโทรศัพท์เสียบ้าง เพราะเพิ่งเห็นค่าว่ามันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาติดต่อกับโลกภายนอกได้ในฤดูกาลนี้

จะว่าไป ควรเคลียร์ทางออกก่อนสายเกินแก้สินะ

เสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่แขวนอยู่บนราวไม้ใกล้กับประตู เจ้าของเดินไปคว้ามาสวมพลางสำรวจสภาพอากาศด้านนอก หิมะโปรยปรายลงมาต่อเนื่องและทำท่าจะหนาตาขึ้น  เขาตัดสินใจสวมถุงมือหนังเนื้อหนาแทนอีกคู่ที่ทำจากไหมพรมถักสีตุ่น

ทันทีที่เปิดประตู ลมหนาวจัดก็ปะทะใบหน้าทันที อากาศเย็นเสียจนความอุ่นจากผิวละลายเกล็ดหิมะไม่ทัน มันเกาะพราวอยู่บนจมูกจนเขาต้องปาดออก…บ้านซึ่งถูกสร้างจากไม้ซุงสีน้ำตาลเข้ม ตอนนี้หลังคากลายเป็นสีขาวโพลน ไม่ต่างอะไรกับพื้นโดยรอบที่ตอนนี้ถูกหิมะปกคลุมจนไม่เห็นถนนอิฐ

ในใจเริ่มลังเล…หรือจะปล่อยให้หิมะตกทับถมไปก่อนแล้วค่อยตักทีเดียวตอนเช้า แต่เมื่อย้อนคิดถึงอดีตที่หิมะหนาท่วมจนเปิดประตูไม่ได้…ก็ตัดสินใจว่าควรจะผ่อนหนักให้เป็นเบา

เสียงพลั่วดังสวบๆ ก้องไปทั่วบริเวณ บ้านพักหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวบนเนินเขา ในที่ดินกินอาณาเขตระหว่างหนึ่งเมืองใหญ่และหนึ่งเมืองเล็กริมทะเล ถนนเส้นเดียวที่ตัดผ่านอยู่ห่างออกไปจากตัวบ้านราวสามร้อยเมตร…เขาค่อยๆ ตักหิมะให้พ้นทางเดินปูอิฐอย่างไม่หนักแรง…ด้วยขนาดตัวของเขา พลั่วเหล็กก็เหมือนช้อน หิมะก็เหมือนน้ำแข็งใสในฤดูร้อนเท่านั้น

แม้เวลาจะยังไม่เที่ยง แต่แสงแดดดูเหมือนจะสู้กับเมฆหนาไม่ไหว ฟ้าครึ้มและลมแรงขึ้นเรื่อยๆ มือใหญ่กำพลั่วแน่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่ซึมผ่านถุงมือ ตั้งใจว่าจะเร่งให้ไวกว่าเดิมเพื่อรีบกลับเข้าบ้าน

แต่เมื่อลงพลั่วครั้งถัดมา แรงสะเทือนทำให้หิมะชั้นบนกระจายออก…แม้ทั่วบริเวณจะขาวโพลนชวนตาลาย แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผืนผ้าแน่นอน…เขาเสียบพลั่วลงดิน ลดตัวลงนั่งแล้วลองดึง

กลายเป็นว่าผ้าสีขาวนั้นคือส่วนนึงของเสื้อ พอปัดหิมะที่ปกคลุม…จึงได้เจอกับร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่…

ศพ…อีกแล้วเหรอ…

บนภูเขาห่างไกลชุมชน เป็นสถานที่เหมาะสมที่จะเอาศพมาทิ้งเสมอ ตั้งแต่เขาถูกส่งมาอยู่ที่บ้านนี้ มักจะเจอศพปีละครั้งสองครั้ง…ไม่รู้จะใช้คำว่าโชคดีได้รึเปล่าที่มีคนเอาศพมาทิ้งในหน้าหนาว อย่างน้อยมันก็ไม่เน่าไวเหมือนหน้าร้อน ทุกครั้งที่พบศพ เขาจะตรวจดูลักษณะและใบหน้าแล้วโทรไปถาม ‘คนที่น่าจะรู้’ ถ้าเป็นฝีมือของฝ่ายนั้นก็จะจัดการฝังให้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม

ร่างนี้โครงสร้างไม่หนา คะเนด้วยสายตาไม่สูงใหญ่ เขาจับไหล่แล้วพลิกให้ตัวหงายขึ้นมา…ไม่ใช่ผู้หญิง ดูเหมือนจะเป็นเด็กผู้ชาย

ไม่เคยเจอศพเด็กมาก่อน แปลกมาก…

เขาย้อนกลับบ้าน เปิดมือถือที่ตอนนี้ไม่มีสัญญาณเพื่อดูเบอร์ที่บันทึกไว้ ใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหาคนที่น่าจะรู้

แล้วได้คำตอบว่า ‘ไม่รู้’ …สบายเลย งั้นปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น เขาถอนหายใจที่ไม่ต้องเหนื่อยต่อ ยกกาน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ กะจะชงกาแฟดื่มให้หายหนาว

…แล้วนึกได้ว่าดันลืมพลั่ว…ขืนปล่อยทิ้งไว้ได้จมหายไปกับหิมะแน่นอน ไม่มีสำรองเสียด้วย

ฝ่าลมหนาวออกมาจากบ้านอีกรอบ คราวนี้ลมแรงขึ้น น่าจะกลายเป็นพายุหิมะในไม่ช้า พลั่วที่ปักทิ้งไว้เอนจนเกือบล้ม เขาก้มลงหยิบ

หางตาเหมือนเห็นร่างที่เจอขยับเล็กน้อย เขาสะดุ้งเฮือก แล้วหันไปมอง

ใต้หิมะและเส้นผมที่ปรกใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนปรือปรอยขึ้นมา…เหมือนลูกแก้วสีสว่างท่ามกลางทิวทัศน์อันขาวโพลน

อีกฝ่ายใช้เวลาอึดใจกว่าจะรับรู้ว่ามีใครจ้องมองตนอยู่…รอยยิ้มแผ่วจางปรากฎบนริมฝีปากบางขาวซีด…ก่อนดวงตาจะปิดลงอีกหน…

ไม่รู้ว่าเพราะศีลธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ หรือเพราะรอยยิ้มปริศนาที่อีกฝ่ายส่งให้…แต่เขาเลือกจะทิ้งพลั่วเอาไว้ แล้วช้อนร่างไร้สติขึ้นอุ้ม

TBC

2.

พายุหิมะด้านนอกทวีกำลังมากขึ้นจนเขย่าหน้าต่างเสียงดังกึงกัง เจ้าของบ้านกลัวลมจะพัดเศษอะไรมาโดนกระจกแตก จึงออกไปตอกแผ่นไม้ปิดบานหน้าต่างเอาไว้ กินเวลานานพอดูกว่าจะเรียบร้อย

เขาโยนโค้ทพาดราวแขวนและถอดรองเท้าเปียกชุ่ม รีบตรงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ในห้องนอน ร่างกายจึงค่อยอุ่นขึ้นบ้าง หลังจากนั้นจึงออกมายังห้องรับแขก หย่อนตัวลงบนอาร์มแชร์ข้างเตาผิง คว้ากาไฟฟ้าและถ้วยบนโต๊ะกลางมารินกาแฟดำควันกรุ่น อังมือกับผิวกระเบื้องให้หายหนาว

ในห้องนี้ ที่ปลายสายตามีร่างหนึ่งนอนขดอยู่บนโซฟา…

เมื่อแรกเจอ เขานึกว่าหมอนี่โดนน้ำแข็งเกาะ แต่พอดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าทั้งผมและผิวนั้นขาวจัด…คล้ายคนเผือกแต่ไม่ใช่ ลักษณะเหมือนดาราหญิงออสเตรเลียนคนหนึ่งมากกว่า เธอมีผิวและเส้นผมอ่อนจางโดยธรรมชาติ

และเพราะความขาวนั้น จึงดูไม่ออกว่าร่างกายซีดเผือดใกล้ตายหรือเปล่า เขาไม่ได้ดูแลอะไรมากมาย เพียงแค่ถอดรองเท้าและถุงมือ ดึงเสื้อผ้าเปียกๆ ของอีกฝ่ายออก โดยที่กางเกงนอกและกางเกงในยังติดคาข้อเท้าขวาอยู่ ช่วยไม่ได้ เขากระชากแล้วมันไม่หลุด…ต่อจากนั้นพันตัวเอาไว้ด้วยผ้าห่มนวม เติมฟืนใส่เตาผิงให้ส่งความร้อนทั่วห้อง…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้านั่นแล้วว่าจะรอดไหม

ดูเหมือนจะอึดกว่าที่คาดเอาไว้ เพราะลูกแก้วสีฟ้าอ่อนปรากฎวับแวมอยู่หลังเปลือกตาที่กะพริบถี่

เจ้าตัวอุทานเสียงแห้งเมื่อได้สติ กลอกตาสำรวจรอบๆ และตนเอง เมื่อรู้ว่าไม่ได้สวมเสื้อผ้าจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลไม่ให้ผ้าห่มหลุด…มองแล้วเหมือนตุ๊กตาหิมะที่มีหัวเป็นคน

แทนที่จะมีประโยคประมาณว่า ‘ที่นี่ที่ไหน’ ‘คุณช่วยชีวิตผมเอาไว้’ หรือ ‘ทำไมผมมาอยู่ที่นี่’คำแรกของเจ้าตัวกลับเป็น  “ผมขอดื่มนั่นได้ไหมครับ”

มือในผ้าห่มชี้มายังถ้วย ช่วยให้เจ้าของบ้านหายงง “…นี่กาแฟ”

“ยิ่งดีเลย” ตอบพลางพยักหน้ารัว ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ…เจ้าตัวจิบกาแฟร้อนไปหลายอึกจึงพูดต่อ “ขอบคุณนะครับ…ผมชื่อเนเว่…เนเว่ เรโก้”

“อืม” เจ้าของเครื่องดื่มตอบรับในลำคอขณะลุกขึ้นไปหยิบถ้วยใบใหม่ เขายืนลังเลอยู่หน้าเคาท์เตอร์ในครัวว่าจะหยิบถ้วยไปใส่กาแฟ หรือจะหยิบขวดเหล้าหมักเองไปจิบให้ร่างกายอุ่นไวขึ้น

คำถามไล่ตามแผ่นหลังใหญ่ “คุณล่ะครับ”

“อะไรนะ” คนฟังเลิกคิ้ว

“ชื่อน่ะ ชื่อ” คนถามขยายความ

ไม่มีคำตอบตามมา…

“คุณเป็นคนช่วยผมเอาไว้นะ เพราะฉะนั้นต้องบอกชื่อสิ”

เป็นเรื่องปกติรึเปล่านะที่จะต้องเค้นถามชื่อคนที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้…ถึงจะไม่อยากทำความรู้จักด้วย แต่ถ้าแค่ชื่อ…

“วาสโก้”

“คุณวาสโก้” เนเว่ทวนคำ “นามสกุลล่ะครับ”

วาสโก้ไม่ตอบ

“นามสกุลล่ะครับ นามสกุล” ย้ำแล้วย้ำอีก

มือใหญ่คว้าขวดเหล้า…เอาไปกระดกเผื่อแก้รำคาญดีกว่า

เจ้าของบ้านเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนอาร์มแชร์ ดื่มไปสามอึกก่อนตอบ “วาสโก้ อินาร์ริตู”

คนในผ้าห่มปั้นหน้ายาก “อินาร์…สะกดไม่ถูกแฮะ”

จะสะกดไปทำไมวะ วาสโก้คิดแล้วเปลี่ยนประเด็น “ถ้าฟื้นแล้วก็ไปซะ เสื้อผ้านายกองอยู่ข้างโซฟานั่นแหล่ะ”

หัวขาวๆ ชะโงกไปดู ทำหน้างงเล็กน้อยที่เห็นกางเกงยังติดอยู่คาเท้า  ลองเอื้อมแขนไปจับแล้วพบว่าผ้ายังชื้นเกินกว่าจะสวม “…เอ่อ…ขออยู่รบกวนจนกว่าชุดจะแห้งได้ไหมครับ”

“ไม่…” ตอบพลางจิบเหล้า

นั่นทำให้เนเว่ต้องค่อยๆ หยิบกองผ้าเข้าไปใต้ผ้าห่มทีละชิ้น เสียงฟันกระทบกึกกักเมื่อสวมชุดเย็บเฉียบไม่ต่างกับเอาถุงน้ำแข็งนาบ ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดขาที่สวมกางเกงยีนส์เข้าที่แล้วก็วางลงกับพื้นบ้าน

ตอนนั้นเองที่วาสโก้เพิ่งเห็นว่าเท้าขวาของอีกฝ่ายเป็นเท้าปลอม…วัสดุทำจากไม้ แกะสลักแบบเรียบง่าย

คนแต่งตัวเสร็จเขยิบเข้าหาเตาผิง…อยากจะอาศัยผึ่งให้ชุดแห้ง แต่ทนแรงกดดันทางสายตาของอีกฝ่ายไม่ไหว จึงรีบส่งยิ้มซื้อความเมตตา

ดูเหมือนจะไม่ได้ผล “…ไปได้แล้ว”

“งั้น…ขอผ้าห่มติดตั—-”

“ไม่”

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปทางหน้าต่างที่ถูกแผ่นไม้ตีปิด เห็นหิมะซัดผ่านร่องเล็กๆ เข้ามา ก็พอจะเดาได้ว่าข้างนอกอากาศเลวร้ายแค่ไหน เขากลอกสายตาอย่างว้าวุ่น…แล้วนึกอะไรได้

วาสโก้ถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลดผ้าห่มออกจากตัว พับอย่างเรียบร้อยแล้ววางบนโซฟา เขายกขวดเหล้าขึ้นดื่มพลางมองส่ง

เนเว่เดินตัวสั่น ความหนาวทำให้ก้าวขาไม่ค่อยออก เขา ‘แกล้ง’เดินไปจนเกือบถึงประตู ก่อนจะหันมายิ้มให้เจ้าของบ้าน

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับคุณวาสโก้ คาดว่าผมเดินฝ่าพายุไปสักชั่วโมงก็คงถึงเมือง…จริงสิ บ้านนี้ถือว่าอยู่ในเขตเมืองอะไรเหรอครับ”

คนฟังเลิกคิ้วทำนองว่าถามทำไม แต่ก็ตอบให้เพราะหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย “เขตเมืองเรเวน”

“อ๋อ…” ทำเสียงเข้าใจ ก่อนจะถามต่อด้วยรอยยิ้มใสๆ “…เรเวนเนี่ย…เข้มงวดเรื่องเหล้าเถื่อนไม่ใช่เหรอครับ”

ปากขวดแก้วกระทบฟันหน้าวาสโก้ดังกึก…

ตลอดมาเขาพยายามอยู่ที่นี่อย่างเงียบที่สุด…ไม่พยายามจะข้องแวะกับบุคคลภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจ…ตำรวจเลวๆ ที่มองคดีฆาตกรรมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไล่จับคนต้มเหล้าเถื่อนอย่างบ้าคลั่งเพราะไปแย่งส่วนแบ่งตลาด

“ผมไม่บอกใครหรอก” เนเว่ยิ้มหวานแม้ฟันจะสบกันระรัวเพราะความหนาว

ไอ้เด็กเวรนี่ขู่เขา

วาสโก้วางขวดเหล้าลงกับโต๊ะกลาง แล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่ม เขวี้ยงใส่ร่างเล็กแทบคำอนุญาตให้อยู่ต่อ

TBC

  • เปิดเรื่องใหม่ค่ะ อิอิ 
  • เป็นแนวคลิเช่ๆ โลกยุคปัจจุบัน ผู้ใหญ่กินเด็ก
  • ฝากติดตามด้วยนะคะ ,,- -,,

Leave a comment