macho_luglio 's cargo, Mostly fanfictions.

Archive for the ‘Original’ Category

[Novel] Be[lie]ve. – 21&22

17-06-02-20-43-30-005_deco

 

ตอนเก่าๆค่า

คำเตือน ตอนนี้ยาวมาก….

 

 

21.

 

 

 

เส้นผมบางส่วนของวาสโก้เริ่มหงอกขาว เนื่องจากเจ้าตัวพักผ่อนน้อยจนร่างกายแสดงอาการประท้วง

 

ตอนนี้เหมือนเขากำลังไล่จับเงาที่ไม่มีตัวตน เวลาหลายสัปดาห์ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพราะไม่ว่าเขาจะเดินฝ่าฝนตกท้ายฤดูไปตามซอกซอยบ่อยแค่ไหน หรืออดหลับอดนอนสุ่มเดินเข้าไปตามผับบาร์ร้านค้าช่วงดึกเท่าไหร่ รวมไปถึงทำใจกล้าหน้าด้านเข้าไปพบอังเดรและคริสเตียโน่…ก็ไม่เจอคนที่ต้องการตัว…

 

กระเพาะเริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมการกินแบบผิดปกติ จึงส่งเสียงโครกคราก สร้างความปวดทรมาน บางครั้งเอนตัวลงนอนในรถยังแสบร้อนในอก…จนต้องไปซื้อยาเคลือบกระเพาะมากระดกต่างน้ำ

 

ความกังวล มันโหดร้ายขนาดนี้…

 

เวลาเย็นมาถึงอีกครั้ง ใบไม้ที่เคยเขียวสดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงคล้ำ ลมแห้งแล้งเริ่มพัดเข้ามาแทนที่ลมฝน…เนเว่ไปจากเขาเป็นเดือนแล้ว ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้วาสโก้คิดถึงจนลืมนึกถึงตัวเอง…

 

ชายหนุ่มปรับเบาะคนขับให้เอนลง ใช้มันแทนที่นอนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา…และแม้จะห่วงบางคนเพียงใด เขายังจำเป็นต้องอารักขาอดีตพ่อตา จึงเลือกที่จะจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาลเสมอ

 

ดวงตาสีดำเหม่อมอง ใกล้จะหลับอยู่แล้ว

 

…ถ้าไม่เห็นคนคุ้นตาเสียก่อน…

 

โฆเซ่ในชุดสูทดำเคร่งขรึมกำลังเดินตรงเข้าไปในโรงพยาบาล เขามีหน้าที่อารักขานายใหญ่เป็นหลัก แต่เหตุการณ์ทางคฤหาสน์ช่วงนี้ไม่น่าวางใจ จึงไม่แปลกนักที่จะเดินทางไปกลับบ่อยครั้ง

 

แต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิม

 

เพราะด้านหลังของโฆเซ่ไปไม่กี่ก้าว เนเว่กำลังเดินตามมา

 

วาสโก้รีบลุกพรวดจากเบาะ เปิดประตูแล้วปิดล็อกรถเสร็จจึงกระโจนข้ามถนน เขายังไม่ทันแตะประตูโรงพยาบาล เนเว่กับโฆเซ่ก็ขึ้นลิฟต์หายไปแล้ว แต่ท่าทางระหว่างทั้งคู่ ไม่ใช่การจับกุมหรือบังคับฝืนใจ หลักฐานเห็นได้จากการที่ผู้คนในโรงพยาบาลมองผ่าน

 

คนตามยืนอย่างร้อนรนอยู่ในลิฟต์อีกตัว เขาออกมาที่โถงทางเดิน ทันเห็นการ์ดสองคนกำลังตรวจค้นอาวุธจากตัวเนเว่ ต่อด้วยโฆเซ่อีกคน…ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นมือขวา ก็ไม่สามารถข้ามกฏรักษาความปลอดภัยได้ โฆเซ่จึงต้องปลดปืนที่พกมา ยื่นให้การ์ดเก็บเอาไว้

 

เนเว่เบิกตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นวาสโก้สาวเท้ายาวๆ มาสมทบ แล้วเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่รู้จักหรือสนใจ

 

คนถูกเมินกดความเจ็บยอกในอกขณะยื่นปืนที่พกมาให้การ์ด ยิ้มมุมปากเป็นเชิงทักทายโฆเซ่

 

“ให้ผมเข้าไปด้วยได้ไหมลูกพี่…ในฐานะคนโง่ที่ไม่รูัเท่าทันอะไรใครเขา”

 

‘ลูกพี่’ หรี่ตามอง บ่งบอกความขุ่นเคือง แต่เพราะเกรงใจในฐานะลูกเขยของนายใหญ่ จึงต้องปล่อยไปอย่างช่วยไม่ได้

 

ประตูห้องผู้ป่วยเปิดออก ทั้งสามคนเดินเข้าไปช้าๆ…โฆเซ่ตรงไปยืนข้างเตียง จับมือซูบผอมของเจ้านายขึ้นมาจุมพิตบนหลังแหวน

 

“ท่านครับ…ผมพาเขามาพบแล้ว”

 

จบคำกระซิบ ชาร์ลส์ลืมตา ลมหายใจให้หน้ากากออกซิเจนเป็นฝ้าชัดเมื่อเจ้าตัวตื่่นเต็มที่…เขาเบนมองไปรอบๆ พบวาสโก้กำลังค้อมศีรษะให้แทนความเคารพก่อนจะแยกไปยืนชิดกำแพงปลายเตียง

 

แม้จะป่วยหนัก แต่ดวงตาสีเทายังคงมองได้แจ่มชัดทั้งสองข้าง เขาพิจารณาเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่แสดงกริยาอะไร ก่อนจะคลี่ยิ้ม

 

“แม้เส้นผมจะไม่ใช่สีดำ…แต่เธอหน้าเหมือนเตียเรไม่มีผิด”

 

นัยน์ตาสีฟ้ากะพริบติดกันสองครั้ง…นั่นคือปฏิกริยาที่มากสุดแล้วบนใบหน้าขาวจัด

 

“อย่าเย็นชากับคนแก่นักเลย เด็กน้อยเอ๋ย…” ชาร์ลส์ถอนหายใจ เขายกมือเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง นางพยาบาลที่ยืนหลบอยู่หลังม่านล้อมเดินอ้อมมา ช่วยปรับระบบไฟฟ้าให้เตียงยกขึ้นกลายเป็นพนักพิง และปลีกตัวเดินออกไปจากห้อง

 

“ฉันเรียกเธอมาวันนี้…เพราะอยากเจรจาอะไรด้วย”

 

“ผมก็มาเพื่อฟังข้อเสนอ ดังนั้นข้ามเรื่องไร้สาระ แล้วเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า” เนเว่ถือวิสาสะเดินไปลากเก้าอี้มาตั้งกลางห้อง นั่งลงบนนั้น

 

โฆเซ่คิ้วกระตุกอย่างไม่พอใจ วาสโก้เองก็รู้สึกได้เช่นกัน การที่เนเว่ทำแบบนี้เป็นการบ่งบอกทางพฤตินัยว่าตนมีฐานะเท่าเทียมกับชาร์ลส์

 

ทว่านายใหญ่แห่งวอลเธอร์ไม่ถือสา ซ้ำยังยิ้มอย่างถูกใจ “ใจเด็ดเสียด้วย เหมือนเตียเรไม่มีผิด…”

 

“มีอะไรรีบพูดเถอะครับ” ริมฝีปากบางแสร้งยิ้มตาม

 

“ก่อนที่ฉันจะเข้าประเด็นหลัก…ขอรำลึกความหลังหน่อยได้ไหม” ตาเฒ่าพยายามผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้ตึงนัก “แต่เดิมพวกเราวอลเธอร์กับซองโตเน่ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”

 

 

“เรื่องนี้ผมพอจะทราบ” ผู้เยาว์ตอบรับ แต่ไม่ได้ขัดขวางการเล่าอะไร

 

“ฉันกับโรแบร์โต้ พ่อของเธอ เราเป็นเพื่อนรักกัน” ชาร์ลส์ยิ้ม ดวงตาเหม่อไปไกลกับความหลัง “ตระกูลของเราเป็นพันธมิตรกันมาแต่อดีต ดังนั้น เราจึงต่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูล…โรแบร์โต้คือเจ้าพ่อตัวจริง เขาเด็ดขาดในเรื่องอำนาจ ส่วนฉันไม่ใช่…ฉันเรียกตัวเองว่านักธุรกิจ เพราะไม่ใช่คนใจแกร่งแบบเขา”

 

เรื่องของ ‘พ่อ’ ที่ออกมาจากปากศัตรูนั้น สร้างความสับสนไม่น้อยให้เนเว่ แต่เขาเลือกที่จะเก็บงำมันไว้ รออย่างตั้งใจ

 

“พวกเราไม่เคยบาดหมาง ไม่เคยหันอาวุธเข้าใส่…แล้วทำไมซองโตเน่ถึงล่มสลาย ทำไมพวกเราจึงเป็นศัตรูกันได้” ชายชราทอดถอนใจ เมื่อมาถึงจุดที่ยากจะเอ่ย “…นั่นเพราะฉันไม่ใช่เจ้าพ่อที่แท้จริง…เมียฉันต่างหาก ที่เป็นคนกุมบังเหียนทุกอย่าง”

 

คนที่เหลือสะดุดลมหายใจ ไม่เชื่อหูว่าสามีจะเอ่ยถึงภรรยาในลักษณะนี้

 

“รู้จักการคลุมถุงชนใช่ไหม ฉันเกิดมาในยุคที่มีประเพณีเช่นนั้น…คู่ครองน่ะ ถูกกำหนดโดยพ่อแม่ ไม่ใช่การเลือกด้วยตนเอง และบางครั้งก็หมั้นหมายกันตั้งแต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังอยู่ในครรภ์…ชื่อของฉันคือ ‘ชาร์ลส์’ ราชาผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ…ดังนั้นภรรยาย่อมต้องเป็น ‘เฮนเรียตต้า’ ราชินีคู่บัลลังค์ของเขา…เธอถูกตั้งชื่อนี้ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อจะมาเป็นภรรยาของฉัน

 

อันที่จริงพวกเราสามคนเติบโตมาด้วยกัน ทั้งฉัน โรแบร์โต้ และเฮนเรียตต้า…ฉันรู้มาตลอดว่าเฮนเรียตต้าไม่ได้เห็นโรแบร์โต้เป็นแค่พี่ชายหรือเพื่อน ในสายตาของเธอมองเขาเสมอ รอว่าสักวันเขาจะพาเธอออกไปจากคำสาปคู่ครองที่ไม่ได้เลือก

 

…ผู้ชายมักจะไม่คิดมากเหมือนผู้หญิง ในหัวมีแต่เรื่องที่ตนสนใจและความแปลกใหม่ท้าทาย ฉันชอบธุรกิจ สนุกกับการได้สร้างอาณาจักรการค้า ส่วนโรแบร์โต้สนใจเกมการเมือง สนใจการได้ต่อสู้กับศัตรูรอบด้าน สนใจที่จะขยายชื่อของซองโตเน่ให้ไปไกลกว่าบรรพบุรุษ…เฮนเรียตต้าสนับสนุนเขาเสมอ ด้วยความรัก และความหวังสุดหัวใจ

 

แต่เรื่องคู่ครองในยุคของพวกฉัน มันเป็นยิ่งกว่าของตาย

 

ถัดจากวันที่พ่อของฉันเสียชีวิตประมาณหนึ่งสัปดาห์ กำหนดการแต่งงานของฉันและเธอก็ถูกประกาศ

 

หนึ่งวันก่อนงานแต่ง เฮนเรียตต้าไปหาโรแบร์โต้ สารภาพความรักที่ทนเก็บไว้มานาน

 

เขาปฏิเสธเธอ เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นมากกว่าน้องสาว และเขาไม่อยากแต่งงานกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น ชีวิตเขาคือการขยายอำนาจ ไม่อยากมาเสียเวลาให้กับความรัก

 

เธอกลับมาหาฉัน และเราแต่งงานกันในวันรุ่งขึ้น โดยมีโรแบร์โต้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

 

ชาร์ลส์หยุดพัก ถอนหายใจยืดยาว…ยาวจนน่ากลัวว่าเป็นลมหายใจสุดท้าย ก่อนจะเล่าต่อ

 

“หลังจากนั้นอีกหลายปี โรแบร์โต้ยังเป็นเพื่อนรักของฉัน และเป็นพี่ชายแสนดีของเธอเสมอ จนกระทั่ง…วันหนึ่งเขามาหาพวกเรา เพื่อแจ้งข่าวว่าจะแต่งงานกับเตียเร…ลูกสาวคนรองของตระกูลมาเฟียทางตอนใต้

 

ฉันยังจำเสียงร้องไห้ของเฮนเรียตต้าได้ดี เธอแอบร้องไห้อยู่ในห้องแต่งตัว

 

…อย่างที่รู้ พวกผู้ชายอย่างเราๆ มันโง่เง่า ฉันจึงปล่อยผ่านเรื่องนั้น หวังว่าสักวันเมียตัวเองจะตัดใจจากชายอันเป็นที่รักไปเอง

 

แต่เฮนเรียตต้าไม่หยุด ที่จริงมันเพิ่งเป็นแค่จุดเริ่มต้น…เพราะโรแบร์โต้ล้มล้างจุดยืนที่ไม่คิดจะแต่งงาน ในเมื่อเขาเปลี่ยนไปแล้ว เธอย่อมเปลี่ยนได้บ้าง จากเดิมที่ทำได้แค่เพียงแอบรัก เธอจึงเดินหน้าเข้าใส่ หวังจะพิชิตใจเขา ใช้ฐานะน้องสาวเข้าใกล้ ไม่สนแม้เขาจะมีเมียเป็นตัวเป็นตน”

 

ถึงตรงนี้ ชาร์ลส์หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ราวกับเล่าเรื่องของคนอื่นไกล

 

“เตียเร…แม่ของเธอน่ะเนเว่ ทนไม่ไหวที่สามีโดนเกาะแกะโดยหญิงอื่น เธอเดือดขึ้นมา คว้าปืนสไนเปอร์แล้วไล่ยิงไม่ไว้หน้ากันเลย ฮ่ะๆๆๆ บอกแล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงใจเด็ด สมกับที่โรแบร์โต้เลือกเอง

 

เคราะห์ดีในยามร้าย…ตอนนั้นเฮนเรียตต้าตั้งครรภ์ลูกของฉันอยู่ เตียเรจึงทำแค่เพียงยิงใบหูของเธอจนขาดเป็นคำขู่…

 

 

มันควรจะจบลงแค่นั้น…แต่ไม่ใช่

 

เฮนเรียตต้าประกาศตัดความสัมพันธ์ระหว่างวอลเธอร์และซองโตเน่ และทีละเล็กละน้อย…เธอเริ่มหยิบฉวยอำนาจจากมืออันละเลยของฉันไป ซ่องสุมกำลัง ปูฐานอำนาจให้กับตนเอง ธุรกิจมืดแบบไหนถ้าทำเงินและขยายอำนาจได้ เธอพร้อมจะสนับสนุน

 

และชะตาก็สุมไฟให้มันฉิบหายวายป่วงขึ้นกว่าเดิม…เนเว่…เธอดันมามีตัวตนในครรภ์ของเตียเร ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าใจของใครบางคนแหลกสลาย

 

 

ไม่รู้ว่าเฮนเรียตต้าได้ข่าวมาจากไหน ว่าโรแบร์โต้มีคลังทองคำไม่ตีตรามูลค่านับหมื่นล้านเหรียญ…เป็นทองคำเถื่อนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน สามารถใช้แลกเปลี่ยนในธุรกิจใต้ดินได้อย่างสะดวก

 

มันเหมือนเพลงอะไรสักเพลง…ฉันจำไม่ค่อยได้…ทันทีที่ข่าวนี้ลือออกไป ทุกคนต่างตื่นทอง แก๊งเล็กแก๊งใหญ่จ้องซองโตเน่ตาเป็นมัน หาโอกาสปล้นชิงตลอดเวลา…พ่อเธอรับศึกรอบด้าน และยืนหยัดมาได้ยาวนานพอควร…อย่างน้อยก็พอให้เธอเติบโตจนอายุสองถึงสามขวบ

 

ศึกนอกต้านได้ แต่คนหักหลังภายในต้านยาก ในที่สุดเด็กชายตัวน้อยก็ถูกลักพา…นำไปขังไว้ในโกดังเหล็กทึบ ล่ามด้วยโซ่ที่ข้อเท้าขวา…อา…เธอรู้มาก่อนหรือเปล่า ว่าเตียเรเป็นคนกลั้นใจตัดเท้าเธอทิ้งทั้งน้ำตา”

 

เนเว่นิ่งเฉยกับเรื่องเล่านั้น…หากขบฟันจนเห็นเส้นเลือดนูนข้างลำคอขาว…

 

ชาร์ลส์เหมือนเครื่องฉายหนังยุคเก่า จะไม่หยุดจนกว่าฟิล์มขาดหรือหมดเรื่อง

 

“แต่คนที่จ้องจะล้างโคตรเธอเล็งเอาไว้แล้ว จึงวางระเบิดเป็นกับดักซ้อน…เวลากระชั้นชิด หนีไม่ได้…พ่อแม่จึงเอาตัวบังลูกไว้…เธอหายตัวไปเพราะถูกใครบางคนช่วยออกมา…หายไปยาวนาน…จนกระทั่งวันนี้”

 

ความเงียบอันน่าอึดอัดคงอยู่หลายนาที จนกระทั่งเสียงไม่ต่ำไม่สูงเอ่ยขึ้น

 

“…ที่คุณเล่านิทานยืดยาวมานี่ ต้องการสื่ออะไรกันแน่ คงไม่ใช่แค่อยากเอาบุญด้วยการบอกความจริงกับลูกกำพร้าอย่างผมใช่ไหม” หนึ่งในตัวเอกของเรื่องเล่าถาม

 

“ฉัน…” เสียงของผู้เฒ่าแหบเครือ  “ต้องการจะขอขมา…”

 

“เรื่องอะไร…” เนเว่เอียงคอ คล้ายเบื่อเต็มที

 

“เรื่องที่ฉันไม่เคยทำสิ่งที่ถูกต้อง…ไม่เคยห้ามปรามภรรยา” ชาร์ลส์มองตรงมา แววตานั้นมีความเสียใจแฝงอยู่ “ไม่เคยรู้ตัว จนกระทั่งเสียเพื่อนรักไป…ผิดต่อเตียเร ผิดต่อเธอ…หากมีสิ่งใดฉันจะชดใช้ได้ คงเป็นตอนนี้เท่านั้น”

 

“แบบไหน…” กับการชดใช้หนี้เลือดให้สาสม

 

 

“ฉันขอให้เธอยุติทุกเรื่องไว้แค่นี้…เลิกแล้วต่อตระกูลวอลเธอร์” ชาร์ลส์บอกด้วยเสียงมั่นคง “ส่วนฉันจะใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายนี้ หยุดเฮนเรียตต้าไม่ให้ยื่นมือไปหาเธอได้อีก”

 

 

โฆเซ่กับวาสโก้ มองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหู

 

ในขณะที่เนเว่…ยิ้มหวานยวนตา

 

“ทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วยล่ะครับ…” ถามพลางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ยกมือขึ้นเกาหูคล้ายมีอะไรรบกวน

 

ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือผอมแห้งขึ้นวางเหนือหัวใจ “ด้วยเกียรติของผู้นำตระกูล ด้วยความสำนึกผิดต่อบาป…ฉันขอร้องให้เธอเชื่อตาเฒ่าคนนี้สักครั้ง”

 

“นั่นล่ะที่ทำให้ผมไม่อยากเชื่อ” ผู้เยาว์มองตรงไปอย่างไร้ความกลัวเกรง “ตาเฒ่าแบบคุณ อีกไม่นานก็ตายแล้ว…คุณอาจหยุดเมียได้ แต่ความสงบมันจะอยู่ถึงแค่วันสุดท้ายของชีวิตคุณเท่านั้น”

 

“เนเว่!”

 

วาสโก้ออกปากเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าห้องมา เขากลัวชาร์ลส์จะไม่พอใจ กลัวข้อเสนอที่นายใหญ่ตัดสินใจเลือกจะสูญเปล่า

 

หารู้ไม่ เสียงของวาสโก้ยิ่งเป็นเชื้อไฟให้เนเว่เดือดดาลกว่าเดิม

 

“ชีวิตผมนอกจากจะสูญเสียนับไม่ถ้วนแล้ว ยังไม่อยากจะเชื่อใครอีกต่อไป…สิ่งที่ผมเชื่อมีเพียงตัวเองเท่านั้น” นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มปรากฎรอยแดงแทรกขึ้นมา “ดังนั้น…ผมเลือกที่จะทำตามวิธีของตัวเอง”

 

ชาร์ลส์สีหน้าซีดลงไป ส่วนโฆเซ่เคลื่อนตัวเองไปยืนใกล้เจ้านายมากกว่าเดิม เผื่อเหตุไม่คาดฝัน

 

ตอนนั้นเองที่เสียงนุ่มนวลดังมาจากประตู

 

“คุณบอกเองว่าเด็กนี่เหมือนแม่…ก็ควรรู้แล้วสิว่าคงตกลงกันไม่ได้”

 

เนเว่หันไปมองหญิงสูงวัยเพียงหางตา คงเพราะยังไม่พ้นช่วงฝนตกดีนัก เธอจึงพกร่มคันยาวมาด้วย หนุ่มน้อยลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลากไปใกล้คนป่วย โดยมีสายตาระแวงของโฆเซ่จ้องอยู่…แต่เขาเพียงแค่วางเก้าอี้ไว้หน้าเตียง จัดให้เอียงเข้าหาอย่างเหมาะสม ต่อด้วยการผายมือเชิญ

 

เฮนเรียตต้ากระตุกยิ้มมุมปาก เดินเนิบช้าไปนั่ง พลางมองเด็กหนุ่มถอยกลับไปยืนกลางห้องตรงจุดเดิม “…น่ารักจัง”

 

“ผมถูกสอนให้เป็นสุภาพบุรุษครับ” บอกพลางค้อมศีรษะ “แม้แต่กับนางมารร้าย ก็ถือว่าเป็นสตรี”

 

รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้างาม

 

“ดูสิ…ดู” เฮนเรียตต้าหันมองชาร์ลส์ “คุณนี่ ทำให้ฉันผิดหวังได้เสมอ คิดเหรอว่าเขาจะยอมจับมือเลิกแล้วต่อกัน…ฉันฆ่าพ่อแม่เขานะ…”

 

น้ำเสียงไพเราะ แต่ประโยคเลือดเย็น

 

“วาสโก้…เธอเองก็เหมือนกัน ฉันรู้หมดแล้วนะเรื่องของเขา” ขนตายาวเหยียดแทบปรกลงแก้มเมื่อคนพูดหรี่ตา “…ทำไมถึงทำเรื่องน่ารังเกียจ”

 

คนฟังหน้าชา ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

 

“ส่วนเธอ…” ราชินีผมบลอนด์จงใจไม่เอ่ยชื่อคนตรงหน้า ราวกับว่ามันเป็นคำหยาบคาย “โง่หรือไงที่เดินตามเขาต้อยๆ เข้ามาถึงที่นี่…รู้ใช่ไหมว่าถ้าจะออกไปต้องเป็นศพเท่านั้น”

 

เนเว่ยิ้มร่า ราวกับเพิ่งเจอเรื่องบันเทิงเริงใจที่รอมานาน “แล้วคุณเองล่ะครับ ตามเข้ามาดูมารหัวขนที่กำจัดไม่สำเร็จแบบผมเนี่ย ไม่อายเหรอ อีกอย่าง…สามีของคุณเป็นคนเรียกผมมา คุณน่ะไม่ได้รับเชิญ…สอดรู้”

 

เฮนเรียตต้าเผลอถลึงตา ความเยือกเย็นที่รักษาเหมือนละลายหาย

 

“ฉันทำลายพ่อแม่แกไปแล้ว…ต่อไป…แม้แต่อนาคตของแกก็จะไม่เหลือ”

 

“ทำไมพวกคนแก่ชอบห่วงอนาคตเด็กจังหนอ…” มือขาวยกขึ้นจับต้นคอคล้ายเบื่อหน่าย

 

“แล้วก็…คนอย่างผมน่ะ ไม่ต้องการอนาคตหรอกครับ”

 

ขาดคำ เนเว่ชักมีดแกรนิตเนื้อแก้วเล่มยาวประมาณสิบห้าเซนติเมตรออกมาจากด้านหลังคอเสื้อ เขาซ่อนมันไว้อย่างแนบเนียน และเพราะไม่ใช่โลหะจึงรอดจากการตรวจจับมาได้อย่างง่ายดาย

 

โฆเซ่ผวาเฮือก รีบกันนายใหญ่เอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเป้าหมายอาจจะเป็นนายหญิงมากกว่าจึงขยับมาด้านหน้า

 

“ฮ่ะๆ…” เนเว่หัวเราะแผ่ว “พอเอาเข้าจริง มันไม่ได้ง่ายเหมือนในหนังเลย การที่จะควักมีดออกมาแล้วกระโดดเข้าไปฆ่าคนได้ในพริบตาเนี่ย…ยากเหมือนกันนะ”

 

“เนเว่…อย่า” วาสโก้เอ่ยเสียงแหบ สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่เจ้าตัวเล็กจะฆ่าใคร แต่เขากลัวว่าใครจะฆ่าเด็กคนนี้มากกว่า

 

และคำตอบประการหลังเริ่มพุ่งเข้าหา โฆเซ่อาศัยจังหวะที่เนเว่ลังเล พุ่งเข้าใส่ หวดแข้งจนเกิดเสียงดังแหวกอากาศ แต่คนตั้งรับคาดเดาไว้อยู่แล้วจึงกระโดดหลบด้วยขาข้างดีได้ทันควัน

 

แม้มือเปล่าแต่องครักษ์รุ่นใหญ่ไม่มีความลังเล แขนขาหมัดเท้าประเคนเข้าใส่เด็กรุ่นหลาน ว่องไวเสียจนน่ากลัว เนเว่การ์ดแตก โดนชกไปหลายหมัด แต่ยังยืนไหวและหลบได้คล่องกว่า

 

เพราะอายุมากแล้ว หมัดหนักหน่วงชุดหลังจึงช้าลง มืดมีดไม่พลาดโอกาศ เอี้ยวหลบหมัดที่เกือบกระแทกหน้า แล้วปาดเฉือนใกล้ข้อพับแขน เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดดังคับห้อง

 

แต่สติคนเจ็บยังคงอยู่ ในพริบตานั้น มือซ้ายของโฆเซ่คว้าเข้าที่ลำคอเล็กพอดิบพอดี

 

วูบหนึ่ง เนเว่คิดว่าตัวเองต้องคอหักตาย

 

แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะวาสโก้กระโจนเข้าใส่ลูกพี่ของตนเอง เพราะขนาดตัวใหญ่พอกันจึงต้องโถมใส่ทั้งร่าง บนพื้นห้องพักฟื้นจึงเหมือนหมีสองตัวกำลังล้มปล้ำชกต่อยกันหมัดต่อหมัดเลือดต่อเลือด

 

มีดแกรนิตเนื้อแก้วยังอยู่ในมือเดิม ตอนนี้มันย้อมเลือดแดงฉานไปครึ่งเล่ม…เนเว่สูดลมหายใจเข้าลึก ปรับจังหวะให้ร่างกายนิ่ง เขามองประเมิน

 

เฮนเรียตต้าขยับหนีไปไกลแล้ว เธอตั้งหลักอยู่หลังเตียงของชาร์ลส์

 

หนุ่มน้อยเดินอ้อมไปหา เฮนเรียตต้ารีบสาวเท้าหลบหนีไปอีกฝั่ง ด้ามร่มยาวชนเข้ากับเสาน้ำเกลือจนล้มคว่ำ

 

เนเว่หงุดหงิดเล็กน้อย ทันใดนั้น เขามองเห็นผมบลอนด์ทองของเธอเสียทรง…ใบหูข้างซ้ายขาดแหว่งปรากฎออกมา

 

“ฮ่ะๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังเย้ยหยัน “ปกติคุณขี้ขลาดแบบนี้รึเปล่าครับ นี่สมัยก่อนคงวิ่งหัวซุกหัวซุนจนเล็งเป้ายาก แม่ผมถึงยิงพลาดไปโดนแค่หู ไม่ใช่หัว”

 

เฮนเรียตต้าหยุดนิ่ง…ใบหน้าปรากฎริ้วรอยชัดเจนเมื่ออารมณ์อันแท้จริงแสดงออกมา เธอเหวี่ยงร่มขึ้นสูง แล้วฟาดใส่ขาขวา เล่นงานส่วนที่พิการของอีกฝ่าย

 

เนเว่ประเมินความเกรี้ยวกราดของเธอผิดไป เขาเซวูบแต่ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ได้ มือซ้ายข้างว่างจับบ่าเพรียวของศัตรู เงื้อมีดขึ้น เป้าหมายคือดวงตาสีเทาข้างซ้าย…

 

“ลาก่อน” เอ่ยเสียงเบา แล้วลงมีด

 

ทว่า ทุกอย่างไม่สำเร็จตามที่ควรเป็น

 

 

“เฮนเรียตต้า!!!!!!!”

 

 

 

เสียงตะโกนนั้น ดังว่าครั้งใดที่เคยได้ยิน ชัดเจนกว่าคำใดที่เจ้าของเสียงเคยเอ่ย

 

หลังคอเสื้อของเนเว่ถูกคว้าไว้ แล้วกระชากไปด้านหลังจนกระอักลมหายใจ…โลกทั้งใบหมุนกลับด้าน ร่างทั้งร่างลอยคว้างในอากาศ จับโฟกัสสิ่งใดไม่ได้…แผ่นหลังเล็กกระแทกบานประตู ก่อนรูดลงไปตามแผ่นไม้ ศีรษะหล่นลงพื้น เจ็บจนร้องไม่ออก…นอนกองแน่นิ่ง

 

หากนัยน์ตาสีฟ้ายังคงรับภาพได้ชัดเจน…

 

วาสโก้เป็นคนจับเขาทุ่ม เพื่อปกป้องนายหญิง

 

สายตาตื่นตระหนก น้ำเสียงร้อนรนที่เรียกชื่อเธอ บ่งบอกได้ดีว่ามีความสำคัญต่อกันแค่ไหน

 

มือที่สัญญาว่าจะไม่มีวันทำร้ายเขา…เหวี่ยงทั้งร่างราวกับไร้เยื่อใย

 

……

 

เศษเสี้ยวกระจายในความจำ พลันมาบรรจบต่อ

 

เนเว่ตาสว่าง รู้แล้วว่าวาสโก้รักและรอคอยใคร…สายเรียกเข้าที่พลาดรับนั้น คือสายของคนไหน

 

 

เจ็บ…จนร้องไห้ไม่ออก

 

 

 

ฝ่ายคนทำร้าย กำลังมือสั่น…สัญชาตญาณบอกให้เขาเลือกปกป้องผู้หญิงที่เป็นดั่งเจ้าชีวิตเมื่อเธอเจออันตราย

 

วาสโก้หูอื้อตาลาย คำสาบานว่าจะภักดีต่อคนที่แอบรักมาเนิ่นนาน ผสานกับเสียงสัญญาที่เคยมีให้ใครอีกคน จะไม่ทำร้าย ไม่มีวันทำร้าย ไม่มีวัน…

 

ลิ้นเขาแข็งค้าง เมื่อพยายามจะห้ามโฆเซ่ที่เดินตรงไปยังร่างเล็ก

 

ทว่า ประตูห้องกลับถูกกระชากเปิดเสียก่อน ปากกระบอกปืนนำมาก่อนตัวคน ต่อด้วยการบรรจงลั่นไกทีละนัดอย่างใจเย็น

 

เฮนเรียตต้าถูกยิงเข้าที่ท้องเป็นนัดแรก หัวเธอเกือบจะเป็นเป้าหมายต่อไป แต่เธอกุมแผลแล้วหนีไปหลังเตียงทัน โฆเซ่โดดขวางนายใหญ่และนายหญิง แม้จะสวมเสื้อกันกระสุนเอาไว้แต่เมื่อถูกยิงก็กระอักจนน้ำลายพุ่ง

 

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายใส่ของป้องกัน มือปืนจึงเปลี่ยนไปจ่อที่เข่าข้างขวาแทน ร่างใหญ่ทรุดฮวบแต่ยังอึดพอ…เขายันตัวขึ้นกางแขน ปกป้องนายใหญ่เอาไว้แม้ต้องแลกชีวิต

 

ปากกระบอกปืนหันไปยังวาสโก้ เหนี่ยวไกใส่ท้อง เมื่อรู้ว่ามีเสื้อกันกระสุนเช่นกัน จึงเลี่ยงไปยิงแขนขวาแทน ชายหนุ่มโดนแรงอัดปืนทั้งท้องและแขนจนเซไปชนผนัง จุกจนยืนแทบไม่อยู่

 

…อังเดรเหลือกระสุนนัดสุดท้ายไว้ในลูกโม่เผื่อกรณีฉุกเฉิน นอกนั้นเขาใช้ ‘สั่งสอน’ ไปอย่างไม่เสียเปล่าแม้แต่นัดเดียว

 

“ไหวไหม…” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเอ่ยพร้อมประคองหนุ่มน้อยที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นยืน พยายามแกะมีดแกรนิตออกจากมือที่เกร็งค้าง “บาดเจ็บตรงไหนร้ายแรงหรือเปล่า”

 

เนเว่ดวงตาสั่นพร่า… “อังเดร…ทำไม”

 

“การ์ดข้างนอกห้องเขาห้ามพกปืนเข้ามา แถมพูดจาไม่รู้เรื่อง” คนงามสูงวัยยิ้มบาง “ฉันเลยฟาดจนสลบ…แล้วนี่ก็ไม่ได้พกปืนเข้าห้อง ฉันยืนยิงอยู่ในเขตก่อนข้ามขอบประตู อ๊ะ…ไม่ใช่ เพราะเข้ามาหาเธอเลยผิดกฎเสียแล้ว”

 

คนเจ็บช้ำทั้งตัวหัวเราะเสียงแหบกับตลกร้าย เนเว่รู้สึกว่าหลังคอปวดหนัก แต่เขากัดฟันยืนขึ้น อังเดรยกแขนไปพาดบ่าช่วยประคองให้เดินไหว

 

ก่อนจะพ้นประตู มือปืนกดเสียงต่ำถึงคนด้านในห้อง

 

“ชาร์ลส์…” อังเดรเหลือบมองเจ้าของชื่อเพียงหางตา… “เห็นแก่ที่นายยังเป็นพี่ชาย ฉันถึงหยุดแค่นี้…ช่วยทำยังไงก็ได้กับเมียของนายที”

 

‘ชาร์ลส์ วอลเธอร์’ ไม่สามารถเปล่งเสียงตอบ ‘อังเดร วอลเธอร์’ ได้เลยแม้เพียงประโยคเดียว…พวกเขาเป็นพี่น้องคนแม่ แค่นี้ก็ทำให้ต่างกัน…ต่างกันมากเกินไป

 

“ฉันไม่อยากแย่งเหยื่อของเนเว่” อังเดรออกเดิน ประคองคนเจ็บพร้อมทิ้งท้าย “แต่อาจจะลงมือเอง ถ้าทนไม่ไหว”

 

……

 

ทั้งที่เสียงปืนสนั่นโรงพยาบาล แต่กลับไม่มีใครเข้ามาใกล้ห้องพักของชาร์ลส์ จวบจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พอให้คนสองคนออกไปแล้ว แพทย์และพยาบาลถึงเริ่มโกลาหล…ราวกับมีใคร ‘สั่ง’ ให้ล้อมปิดอาคารเอาไว้

 

คนเจ็บสามคนถูกทำแผลฉุกเฉินพร้อมกัน การ์ดสองคนที่เพิ่งฟื้นรีบรุดเข้ามาดู ต่างหน้าซีดเผือด

 

แผลทั้งแขนและเข่าของโฆเซ่อาการหนักสุด จึงถูกส่งต่อไปยังแผนกเฉพาะทาง วาสโก้หลังถูกดึงกระสุนและพันแผลเสร็จแล้ว ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั้น มองพยาบาลอีกกลุ่มกำลังตัดชุดเดรสช่วงท้องของนายหญิงออก

 

ชาร์ลส์นอนประสานมืออยู่บนเตียง…มองภรรยาด้วยแววตาแห้งผาก เขาเอ่ยขึ้นตัดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเธอ

 

“เลิกบ้าได้หรือยัง” เสียงนั้นแหบลึก “…ตอนครั้งระเบิดบ้านคริสเตียโน่ พวกเราก็แทบออกจากเมืองไม่ได้แล้ว…ครั้งนี้เธอหาเรื่องอังเดรอีกทำไม แค่ปล่อยเด็กคนเดียวไป เธอทำไม่ได้เลยหรือ”

 

เฮนเรียตต้าชะงัก…เสียงร้องจากความทรมาน เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะหลอนลึก…

 

“ฉันจะเอาให้ตาย…เอาให้ตาย…ฉันคนนี้ต้องการอะไร…ต้องได้…ต้องได้…”

 

วาสโก้เห็นเหล่าแพทย์และพยาบาลมือสั่น…เข็มเย็บปักไม่เข้าเนื้อหลายครั้ง จนต้องเอ่ยขอโทษแล้วตั้งสติใหม่

 

…เขาเองยังรู้สึกหนาววาบทั้งสันหลัง

 

เทพีของเขา…เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

ไม่นานนัก การเย็บแผลเบื้องต้นก็จบลง หน่วยฉุกเฉินบอกให้เฮนเรียตต้ารอ พวกเขาจะรีบไปเตรียมรถเข็นมารับไปห้องพักเพื่อรักษาต่อ…พอคล้อยหลังแพทย์ เธอยันตัวลุกขึ้นมา โดยอาศัยการพยุงจากการ์ดทั้งสอง

 

 

วาสโก้ไม่กล้ามองหน้าเธอ…จึงจ้องเพียงปลายรองเท้าคู่สวย…หนังแก้วแวววับสะท้อนเงาลาง ๆ ของผู้สวมใส่

 

ที่กำลังถือปืนจ่อมายังเขา…

 

พริบตาที่เหนี่ยวไก ชายหนุ่มกลิ้งหนีได้อย่างทันการ เขาลุกขึ้นยืน เบิกตาค้าง…มองนายหญิงที่ตนช่วยชีวิตเอาไว้อย่างไม่เชื่อ

 

“แกนอนกับลูกของเตียเร…” ใบหน้างามแสดงความเกลียดชัง

 

เสียงปืนดังรัวอีกหลายนัดตามมา วาสโก้หนีตาย ออกวิ่งจนเกือบลงไปคลานสี่ขา

 

…ความรักทั้งชีวิตที่เขาเทิดทูนมา…ช่างไร้ค่าในสายตาเทพี…

 

TBC

 

22.

 

 

 

 

ในตรอกแคบของเมืองเรเวน ระงมไปด้วยเสียงร้องไห้ของสองแม่ลูก

 

เด็กชายตัวน้อยเอื้อมมือไขว่คว้า พยายามช่วยผู้เป็นแม่ที่กำลังถูกฉุดคร่าโดยชายฉกรรจ์หลายคน ตัวเด็กถูกเตะถีบให้พ้นทางราวกับเป็นขยะกองหนึ่ง เสื้อผ้าของแม่ถูกฉีกกระชากออก ท้องถูกต่อยให้ยอมอยู่นิ่ง

 

เสียงปืนหลายนัดดังก้องในตรอกสกปรก…

 

 

เลือดมากมายไหลรวมกับน้ำคลำบนพื้น เด็กชายพุ่งเข้าไปหาแม่อย่างหวาดกลัว แล้วต้องเสียขวัญซ้ำซาก เพราะแม่ของเขาหมดสติจากการถูกทำร้าย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้นขึ้นมา

 

ชายถือปืนเดินมาอุ้มร่างของแม่ เด็กน้อยเข้าใจผิดจึงตรงเข้าไปทุบตี

 

ตอนนั้นเองที่แขนเรียวขาวดึงเขาไปกอดเอาไว้ มือคู่งามลูบศีรษะให้หายตื่นตระหนก

 

เธอกระซิบคำหวานปลอบโยนเขา…ก่อนจะช้อนร่างขึ้นอุ้ม พาไปขึ้นรถคันหรู ที่เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

 

….

……

 

จากสลัมสกปรก สู่คฤหาสน์หลังใหญ่ราวกับวัง แม้แต่ห้องสำหรับคนรับใช้ ยังใหญ่กว่าบ้านที่สองคนแม่ลูกเคยอาศัย

 

แม่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นวัยเด็กของเธอ…เทพีประจำใจของเขา เธอทั้งเอ็นดูและให้ความเอาใจใส่ เธอชื่นชมเมื่อพบว่าเขาอ่านออกเขียนได้เกินวัย และรีบไปปรึกษากับนายท่านเพื่อส่งเขาไปเข้าโรงเรียน

 

กาลเวลาไม่อาจทำอะไรเธอได้…จากวัยสาวสู่วัยผู้ใหญ่…เขาเพียงแค่มองอย่างหลงใหลเทิดทูน

 

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอดูเศร้าระทม…ไม่นานหลังจากนั้น เธอเข้าพิธีแต่งงาน…เขากับแม่ย้ายตามเธอไป รู้จักกับนายใหญ่อีกท่าน

 

ชีวิตอันสงบสุขดำเนินต่อไป

 

จนกระทั่งวันหนึ่งเธอร้องไห้อีกครั้ง

 

ใครๆ ต่างกล่าวว่าเธอเปลี่ยนไป…เขาเถียง เธอยังเป็นนางฟ้าของเขา เป็นเทพีผู้เต็มไปด้วยความรักและเมตตา

 

แล้วใครกัน…ที่ทำร้ายเธอได้ลงคอ ทั้งที่เธอกำลังตั้งครรรภ์

 

วันที่เธอนอนละเมอเพราะพิษจากบาดแผลบนหู เขาอยู่ไม่ไกลจากห้องนั้น…เขาจึงตั้งคำสัตย์สาบาน ว่าจะปกป้องและภักดีเธอ…ไม่ว่าต้องทำวิธีไหน

 

วันเวลาผ่านไป เขาเติบโตขึ้นเด็กชายไม่เอาไหน เป็นชายหนุ่มสมบูรณ์

 

นั่นเป็นเวลาใกล้เคียงกับตอนที่แม่ของเขาจากไปด้วยโรคร้าย

 

เธอปลอบประโลมเขาเช่นเคย ซ้ำยังเอ็นดูเขาเสียจนอยากสนับสนุนสิ่งที่ดีกว่าให้

 

ลูกสาวของเธอที่โตมาพร้อมกับเขา กลายเป็นคู่หมายที่ใครๆ ต้องอิจฉา

 

จวบจนวันวิวาห์…เขาจึงเพิ่งรู้ว่าตนเองรักใคร

 

หากความรักกับเทพีนั้น…เป็นไปไม่ได้ เขาจึงเก็บมันเอาไว้ เลือกใช้ชีวิตในทางที่ถูกและควร

 

ชีวิตแต่งงานล่มลงอย่างรวดเร็ว เขายังเลือกจะกอดความภักดีเอาไว้

 

รัก เทิดทูน หลงใหล บูชา

 

เพื่อจะมารับรู้ตอนสุดท้ายว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา…ความรักของเขาช่างไร้ค่าสิ้นดี…

 

 

———

 

 

ขับรถออกจากเมืองเรเวนมาราวหนึ่งชั่วโมง จะถึง ‘เมืองโครวเวน’ เมืองที่ได้รับคำเปรียบเปรยว่าเป็นเมืองแฝดของเรเวน แต่เป็นด้านสว่างกว่า

 

บ้านพักส่วนตัวของอังเดรตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านจัดสรร ออกแบบเรียบง่ายเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก ฝั่งตะวันตกของบ้านติดกับแม่น้ำ มองออกไปจะเห็นครอบครัวเพื่อนบ้านออกมาทำกิจกรรมต่างๆ…ซึ่งทั้งหมู่บ้านนั้น คือการ์ดของอังเดรทั้งสิ้น

 

เนเว่นอนอยู่บนเตียงริมหน้าต่าง รอบลำคอมีเฝือกอ่อน หลังแพทย์ที่เชิญมาดูอาการและจ่ายยาออกไป อังเดรจึงเข็นรถเข็นพาคริสเตียโน่เข้ามาหา

 

หากเป็นเวลาปกติ คริสเตียโน่คงจะตะโกนด่าตัวต้นเหตุ แต่คงเพราะครั้งนี้รู้ว่าเนเว่บอบช้ำทางจิตใจมาพอแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงทำเพียงแค่ลูบศีรษะ

 

“ให้พ่อไปฆ่ามันไหม” ถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

บรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้คนเจ็บยิ้มออก “พ่อก็รู้ ว่าผมจัดการเองได้”

 

อังเดรนั่งลงบนเตียง “…ฉันอยากให้เธออยู่ที่นี่…ลืมเรื่องอดีตให้หมด”

 

เนเว่ฟังคำนั้นอย่างเคารพ แต่กลับปฏิเสธเสียงเบา “ทั้งเรื่องของพ่อแม่แท้ๆ ทั้งเรื่องที่พวกเขาวางระเบิดบ้านจนพ่อเจ็บ ผมหยุดไม่ได้หรอกครับ”

 

“ทั้งที่คุณห้ามผมไม่ให้ไปจัดการกับชาร์ลส์” คนงามสูงวัยตวัดสายตามองคนบนรถเข็น “แต่กลับห้ามลูกตัวเองไม่ได้”

 

คริสเตียโน่ไม่ยอมสบตา “…ช่องว่างระหว่างวัยล่ะมั้ง แล้วที่ผมห้ามคุณ…เพราะผมจะรอหายดีแล้วไปจัดการเองต่างหาก”

 

แม้จะรูปร่างหน้าตาต่างกันสุดขั้ว แต่เนเว่คิดว่าเขาเหมือนพ่อเหลือเกิน

 

“งั้นช่วงนี้ก็พักฟื้นที่นี่เถอะเนเว่” อังเดรหาทางประนีประนอม “ของทุกอย่างในบ้านเก่าที่เรเวน ฉันย้ายมาไว้ที่นี่หมดแล้ว…ที่นี่เป็นบ้านของเธอเสมอ”

 

“ขอบคุณครับอังเดร” มือเล็กเอื้อมไปจับมือคนที่นั่ง “แต่ผมคงอยู่ที่นี่ไม่นาน…เฮนเรียตต้าต้องการชีวิตผม ดังนั้นผมจะไม่อยู่เป็นเป้าล่อให้เมืองนี้เดือดร้อน”

 

ความห่วงใยแสดงออกมาทางดวงตาสีเทาสวย หากริมฝีปากยิ้มน้อยๆ คล้ายเข้าใจความคิด “จะไปที่ไหนล่ะ ให้ฉันเตรียมคนไปส่งไหม”

 

“เดินทางด้วยรถคงสะดุดตา…ผมมีวิธีครับ…”

 

ระหว่างโครวเวนกับเรเวนนั้น เชื่อมถึงกันด้วยไฮย์เวย์กว้างใหญ่ แต่น้อยคนนักจะรู้ว่ายังมีถนนเส้นเล็กคดเคี้ยวไปตามหุบเขา เชื่อมต่อไปยังอีกเมืองทางใต้

 

….

…..

 

หลังพักรักษาตัวจนเคลื่อนไหวได้สะดวก เนเว่ซื้อจักรยานใหม่คันหนึ่ง แล้วออกเดินทางไปยังถนนเส้นเล็กนั้น…ไปยังเมือง ‘บลอดเวน’ ที่เขารัก…

 

TBC

ใกล้วันงานแล้ว ฝากร้านด้วยค่ะ อิอิ ใบโฆษณางานGenYบูธG1

[Novel] Be[lie]ve. – 19&20

17-05-31-22-41-01-418_deco

 

ตอนเก่าาาาาาาาาา

 

19.

 

 

ในห้องของโรงแรมสี่ดาวนั้น ร่างใหญ่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง นิ้วมือกดพิมพ์ข้อความลงในสมาร์ทโฟน พิมพ์แล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า…หาเหตุผลให้น่าเชื่อถือจนพอใจ จึงจะกดส่ง…

 

วาสโก้มองข้อความของคืนก่อน หลังแอบเห็นความลับของเนเว่ และผ่านการสนทนากับโฆเซ่…เขาไม่เหลือแรงพอจะกลับบ้าน จึงส่งข้อความอ้างไปว่ามีงานด่วนจากนายใหญ่ ยังกลับไปไม่ได้ อีกฝ่ายส่งข้อความกลับมาว่าเข้าใจ

 

ส่วนวันนี้ เขาใช้เวลาทั้งวันนอนคิดหาทางออกให้ชีวิต แต่ยังไม่อาจพบวิธีไหน…เวลาใกล้ค่ำบอกให้เขาต้องส่งข้อความอีกครั้ง…จึงอ้างไปว่างานยังติดพันต่อเนื่องอีกคืน…เนเว่ตอบกลับมาเช่นเคยว่าเข้าใจ…

 

เขาไม่รู้ว่า ‘เข้าใจ’ นั้นจะเป็นจริงตามที่เจ้าตัวบอกหรือเปล่า อาจจะเริ่มระแวง อาจจะเริ่มหึงหวงว่าเขาไปค้างกับใคร มันเป็นได้ทั้งนั้น

 

 

เช่นเดียวกับตัวเขา ซึ่งระแวงและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ ควรทำตามคำแนะนำของโฆเซ่ คือรีบเขี่ยเด็กคนนั้นออกไปจากชีวิตให้ไวที่สุด

 

พยายามสะกดจิตตัวเองให้คิดว่านั่นเป็นเพียงคู่นอนชั่วคราว เป็นเพียงเด็กขายตัวดังที่เอ่ยอ้าง…ผู้ชายด้วยกันมันจะไปมั่นคงถาวรอะไร…หนำซ้ำการกันอีกฝ่ายออกไป อาจจะเป็นข้อดีแก่ทั้งสองฝ่าย เขาไม่ต้องกังวล เนเว่ปลอดภัย

 

…แต่เขาทำไม่ได้…

 

บนเตียงโรงแรมกว้างใหญ่…เมื่อไม่มีร่างเล็กให้กอดแล้วเขาหลับแทบไม่ลง ฝืนตัวเองจนได้พักผ่อนไปวูบหนึ่ง กลับต้องสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย ฝันว่าเลือดมากมายชโลมอยู่บนผิวกายขาวโพลนนั่น

 

นอนนิ่งอยู่พักใหญ่ ท้องไส้ก็เริ่มประท้วง…เขาไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาหนึ่งวันเต็มๆ ทั้งที่บุฟเฟ่ต์มื้อเช้าอร่อยมาก แต่รูมเซอร์วิสของที่นี่กลับห่วยบรรลัยอย่างน่าผิดหวัง

 

วาสโก้ตัดสินใจลุกจากเตียง แต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ส่งไปซักรีดกลับมาเรียบร้อย เขาคว้ากุญแจรถ ตั้งใจจะเช็คเอาท์ในวันนี้ เพราะการนอนค้างอยู่ในโรงแรมเดิมนานเกินไป อาจจะทำให้พวกเดียวกันสงสัยได้โดยไม่ต้องมีมูลเหตุ…ในภาวะแบบนี้ ใครจะไว้ใจใครได้

 

ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มหัวเราะขื่นขมในลำคอ…

 

เขารักเนเว่มากเกินไป…มากเสียจนไม่อาจตัดใจแม้เด็กน้อยจะแฝงด้วยอันตรายเกินประเมิน

 

———

 

ผับแอนด์เรสเตอรองค์เปิดให้บริการตั้งแต่ก่อนตะวันตกดิน วาสโก้จึงอาศัยฝากท้องเอาไว้กับอาหารที่นี่ เขาจะกินมื้อเย็นให้อิ่มหนำ และเอาใจปากด้วยเบียร์ต่อท้ายสักสามสี่ขวด

 

ทว่า มื้ออาหารยังไม่ทันจบและเครื่องดื่มมึนเมาเพิ่งมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มก็มีแขกมาเยือนถึงโต๊ะเสียก่อน

 

 

“มองอยู่แต่ไกลว่าคุ้นหน้า” เสียงหวานนุ่มเอ่ยทัก มือเรียวสีน้ำผึ้งทาบลงบนบ่ากว้าง “คุณวาสโก้นี่เอง”

 

“ลินดา” ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ รีบจะลุกขึ้นตามมารยาท

 

แต่คนสวยกลับกดบ่าเอาไว้ “ไม่ต้องมีพิธีอะไรหรอกค่ะ ฉันมารบกวนคุณเอง”

 

“รบกวนอะไรกัน…เชิญนั่งตามสบายเลย” วาสโก้ยิ้ม ผายมือไปยังเก้าอี้ว่างด้านซ้ายมือของเขา

 

ลินดานั่งลง สั่งไวน์โดยไม่ต้องใช้กับเมนูกับบริกรที่เดินผ่านมา หันซ้ายขวาอย่างมีจริตก่อนถาม “เนเว่ไม่ได้มาด้วยกันเหรอคะ”

 

ไม่รู้เพราะความอ่อนล้า หรือเพราะบรรยากาศผ่อนคลายของหญิงสาวที่แผ่ออกมา วาสโก้จึงเลือกตอบไปตามตรง “เปล่าครับ…ผมมาคนเดียว”

 

“อือฮึ…” ดวงตาสีอำพันหรี่ลง ริมฝีปากแย้มยิ้ม “งั้นฉันขอฉวยโอกาสเดตกับคุณอีกสักครั้งจะได้ไหม”

 

คนฟังหัวเราะเบาๆ “แน่นอน…”

 

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาพบกับลินดาเพียงลำพัง เริ่มต้นนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ เธอมาพบเขาที่กำลังพักทานอาหาร ทั้งคู่พูดคุยกันถูกคอ  จึงมีการนัดเจอครั้งต่อๆ มา…เป็นความสัมพันธ์หยอกเย้า…ลินดารู้จากปากคำเนเว่ตอนที่ไปค้าขายเพียงลำพัง ว่าหนุ่มน้อยเป็นอะไรกับชายตรงหน้า แต่เขาและเธอเลือกจะมองข้ามไป

 

วาสโก้ยอมรับว่าลินดามีอิทธิพลต่อจิตใจ ซ้ำยังนับถือยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพบว่านอกจากอาชีพค้าของเก่าแล้ว…เธอเปิดเผยตัวตนกับเขาเองว่าเป็น ‘คนขายข่าวอิสระ’ ผู้หญิงน้อยคนนักที่จะทำอาชีพนี้ได้ เพราะต้องอาศัยทั้งบารมี ไหวพริบ สติปัญญามากมายเกินกว่าคนส่วนใหญ่จะจินตนาการถึง

 

และแน่นอน เธอมองความกลุ้มใจของเขาออก เพียงแค่นั่งจิบไวน์ไปสองสามอึก

 

“คุณกลุ้มใจเรื่องของเนเว่อยู่ใช่ไหม”

 

คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ มองสบดวงตาคู่งามใต้แสงโคมที่เริ่มฉาย

 

“ก่อนหน้านี้เขาเงียบราวกับเงา แต่เพราะวีรกรรมล่าสุด ทำให้เจ้าตัวเผยการเคลื่อนไหว ตอนนี้ไปไหนก็มีแต่คนเตือนให้ระวังเด็กมากกว่าผู้ใหญ่แล้ว รู้รึเปล่า” ลินดาถอนใจยาวด้วยความห่วงหา “ถ้าลงมือฆ่าเจ้าขี้ยานั่นในซอกตึกเสียเลย ก็คงจะดีกว่านี้…แต่ก็นะ…เนเว่คือเนเว่ เขายังไม่เคยฆ่าคน”

 

วาสโก้บอกไม่ถูกว่าควรจะประหลาดใจหรือโล่งใจ “แต่ฝีมือการใช้ปืนของหมอนั่น ไม่ใช่มือสมัครเล่น”

 

“พ่อของเขาสอนมาดี” หญิงสาวยิ้มหวาน จิบไวน์เข้าไปอึกใหญ่ “คุณเคยเจอพ่อของเขาไหม นั่นน่ะ อดีตผู้บังคับการตำรวจของเรเวน เกษียณอายุราชการก่อนเวลาเพราะเรื่องส่วนตัว”

 

เรื่องส่วนตัว อาจจะเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บ คนฟังสรุปเองในใจ

 

“เนเว่ถึงใช้ปืนเป็นสินะ” ชายหนุ่มถือวิสาสะแย่งแก้วไวน์มาจิบบ้าง เป็นการหยอกเล่นที่เคยทำกันบ่อย “แล้วทำไมเขาถึง…”

 

“ฉันบอกได้แค่ว่า…ซองโตเน่” ลินดาจรดปลายนิ้วเรียวบนริมฝีปากเคลือบสีส้มอิฐ “แต่แนะนำว่าคุณไม่ควรรู้อะไรไปมากกว่านี้…”

 

 

“ผมไม่สนว่าเขาจะเป็นใคร สายข่าว เหยื่อล่อ หรือแบบไหน” วาสโก้เสียงเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว “…ผมแค่ไม่อยากให้เขาเป็นอันตราย”

 

ในมุมที่คนร่วมโต๊ะมองไม่เห็นนั้น สาวงามแอบทำจมูกยุกยิกล้อเลียน…เธอได้กลิ่น…กลิ่นของความรักและความโง่งม

 

“คุณรักเขา” เสียงนุ่มอ่อนโยนประโลมปลอบ “ฉันมักจะซาบซึ้งกับเรื่องราวโรแมนติกแบบนี้…และสามารถช่วยได้”

 

ชายหนุ่มหันไปมองเธอ ยื่นมือไปกุมมือเรียวราวกับคนจมน้ำเห็นท่อนไม้

 

“ฉันมีเส้นสายพอจะส่งเนเว่ไปหลบในห่างไกล เอาให้ความตึงเครียดระหว่างวอลเธอร์กับซองโตเน่คลี่คลาย คุณค่อยไปรับเขากลับมา”

 

วาสโก้พยักหน้า สายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

 

“แต่ว่า…….” หญิงงามปรายตา “ฉันเอ็นดูเขามาก ระหว่างที่เขาไม่อยู่ ฉันคงเหงาเกินทนไหว…”

 

สายตากรุ่นด้วยความร้อนแรงเชิญชวนนั้น หอมหวานดั่งกระดังงาลนไฟ

 

“ฉันอยากจะได้ใครสักคนคอยเอาใจ…แทนค่าตอบแทนให้ใครบางคนปลอดภัย…ได้หรือเปล่า”

 

วูบหนึ่งในอก วาสโก้บอกตัวเองว่าเขากำลังจะทำร้ายเนเว่อีกครั้ง…ด้วยการนอกใจ

 

แต่…ถ้าหากมันทำให้เด็กน้อยของเขารอดตายได้…

 

ซ้ำร้าย…กับหญิงสาวพราวเสน่ห์และรู้ว่าสิ่งไหนคือเล่น สิ่งไหนคือแท้…คงไม่มีปัญหาเท่าไหร่ ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายปิดเป็นความลับ

 

และเขาคงจะไม่ได้รับโอกาสดีแบบนี้อีกแล้วถ้าปฏิเสธเธอ

 

วาสโก้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยิ้มให้ลินดา…เขาสั่งเช็คบิลทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มไปเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงตระกองร่างเพรียวงามขึ้นรถ ตรงไปยังร้านของเธอ

 

———

 

 

อากาศร้อนยิ่งทวีความน่ารำคาญ เมื่อเมฆฝนเริ่มสานตัวกันแน่นหนา ความชื้นพุ่งขึ้นสูง ส่งผลให้เหนียวเหนอะหนะผิว…โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังเสร็จกามกิจ

 

ลินดายันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะประเมินราคากลางร้าน ที่ๆ เธอใช้ต่างเตียง เหงื่ออุ่นๆ ไหลท่วมผิวกาย หญิงสาวบิดเอวไปมาให้หายเมื่อยขบ ก่อนจะหยิบชุดเดรสตัวเดิมขึ้นมาสวม

 

วาสโก้นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ สวมเพียงกางเกงขายาว เหงื่อชุ่มโชกไม่ต่างกัน…ปลายสายตานั้นคือหัวกะโหลกกวาง กิ่งเขาสวยไร้ตำหนินั้นทำให้จำได้ว่ามันมาจากไหน

 

…สุขทางกาย แต่ใจกลับว่างเปล่า…ตัวเขาตอนนี้ คงไม่ต่างกับซากกวางตรงหน้าเท่าไหร่นัก

 

“อากาศร้อนจังเลย แอร์ก็ดันมาเสียช่วงนี้” เจ้าของสถานที่บอกขณะอ่านอะไรบางอย่างในสมาร์ทโฟน ก่อนจะเบนสายตาไปยังอีกคน “ช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อยได้ไหมคะ”

 

“โอเค…”  วาสโก้รับคำอย่างเลื่อนลอย วางเท้าเปลือยลงกับพื้น เดินตรงไปยังหน้าต่างโบราณที่ตีเป็นช่องถี่ๆ จุดประสงค์เพื่อใช้กันลมภายนอกมากกว่าจะระบายอากาศ

 

มือใหญ่ผลักบานไม้เปิด

 

…แล้วยืนนิ่งค้างเหมือนโดนคำสาป

 

คล้ายสมองถูกฟาดด้วยค้อนใหญ่ที่มองไม่เห็น…วาสโก้มือเย็นเท้าเย็น…สายตาของเขาจับโฟกัสไม่ได้ค่อยได้ ต้องใช้เวลาอยู่อึดใจกว่าจะรับรู้ความเป็นไปตรงหน้า

 

นัยน์ตาสีฟ้าสวยค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น และกำลังจ้องมองมา…ใบหน้าขาวนิ่งเรียบ หากริมฝีปากบางสั่นไหว แขนขาแข็งเกร็งดั่งหุ่นกระบอก…เหมือนเจ้าตัวตั้งใจจะเดินหนีไปให้พ้น แต่กลับขยับไม่ได้

 

…หยดน้ำหยดเล็ก…ร่วงออกมาจากลูกแก้วใส หล่นผ่านผิวแก้ม ปลายคาง แล้วลับหายไป…

 

เนเว่ขยับริมฝีปาก…อย่างยากเย็น

 

 

“ฝนตก…แล้วล่ะ”

 

 

คำโกหกนั้น ฉีกกระชากหัวใจคนฟังจนขาดวิ่น

 

 

TBC

20.

 

 

 

วาสโก้ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เขาได้แต่จ้องมองร่างเล็ก…มองอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งเจ้าตัวเป็นฝ่ายขยับก่อน

 

วูบแรกชายหนุ่มแทบจะกระโจนออกหน้าต่างไปคว้าเด็กน้อยของตนเอาไว้ไม่ให้หนีหาย แต่เนเว่แค่เดินอ้อมจากหน้าต่าง เข้ามาด้านในทางประตู

 

“ลินดา” ใบหน้าขาวมีรอยยิ้มทักทาย ราวกับเป็นวันปกติธรรมดา ราวกับแค่มาติดต่อค้าขาย

 

กลายเป็นเจ้าของร้านเสียเองที่ยิ้มไม่ค่อยออก เพราะผิดคาดหลายอย่าง ผิดที่หนุ่มน้อยไม่โวยวาย ผิดที่เขายังใจเย็นและเข้ามาหาเธอ…ผิดที่ได้เห็นน้ำตาหยดนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเนเว่ร้องไห้ คือตอนเจ้าตัวเล็กหกล้มเมื่ออายุไม่ถึงห้าขวบดี…

 

“ที่รัก…ฉันอธิบายเรื่องนี้ไ—–

 

 

คำกล่าวของหญิงสาวถูกหยุดเอาไว้ เมื่อมือขาวยกขึ้นเป็นเชิงห้าม

 

“ผมมาเพื่อคุยงาน…เราจะคุยกันแค่งาน ไม่มีเรื่องอื่น และไม่มีคนอื่น”

 

ความมั่นคงในน้ำเสียงนั้น กดดันทั้งเจ้าของร้านและใครอีกคนหนึ่ง…วาสโก้รู้สึกถึงเหงื่อร้อนและเหงื่อเย็นไหลผสมไปมาบนร่าง เขาคิดได้ว่าตนเองควรปลีกตัวไปอาบน้ำ แต่งตัว และรอรับเนเว่กลับบ้านพร้อมกัน…

 

“เอ่อ…ห้องน้ำเดินผ่านประตูไป แล้วเลี้ยวซ้ายสุดทาง” ลินดาบอกกับร่างสูงใหญ่ที่เดินวนไปมาหาทางออก

 

 

เมื่อบุคคล ‘ไม่พึงประสงค์’ ของผู้มาเยือนหายตัวไป คนที่เหลือจึงเริ่มคุยกันได้เสียที

 

“ผมเห็นข้อความที่คุณส่ง เลยรีบมา” เนเว่เดินเข้าหา แต่รักษาระยะไว้ไม่ใกล้ชิดอย่างเคย

 

“ใช่แล้ว ทางซองโตเน่ขอให้ส่งนี่ให้กับเธอ” ลินดาเดินไปยังลิ้นชักเก็บของทรงโบราณ หยิบกระดาษที่เย็บไว้เป็นชุดออกมายื่น

 

คนต้องการข่าวรับกระดาษชุดนั้นมาเปิด…ในนั้นเป็นสัญลักษณ์จุดกลมอยู่เต็มไปหมด หากเป็นแผ่นเดี่ยวอาจจะมองผ่านเป็นเพียงเศษกระดาษ แต่เมื่ออยู่รวมกันแล้ว ถึงมองออกว่า ‘มีระบบ’ อย่างชัดเจน

 

เนเว่กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ แล้วจึงพับกระดาษใส่อกเสื้อกันลม “ขอบคุณมากครับ ช่วยได้เยอะเลย”

 

เพราะอีกฝ่ายทำท่าจะกลับไปทันที ลินดารีบเรียกเอาไว้ด้วยเสียงร้อนรนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เนเว่ คือ…”

 

ทว่าเจ้าของชื่อเพียงแค่หันมา ยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากบาง ส่ายหน้าช้าๆ

 

“ไม่ต้องบอกอะไรเกินจำเป็น คำนี้คุณเคยสอนผมใช่ไหมครับ” นัยน์ตาสีฟ้ามีแววโศกลึกอย่างปิดบังไม่ไหว “…คุณน่ะ เป็นผู้หญิงแบบที่เขาฝันถึง…ความชอบพอเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมไม่มีสิทธิห้ามเขา ไม่มีสิทธิห้ามคุณ”

 

ลินดารู้ตัวว่าทำเกินไปแล้ว มือเรียวยกขึ้นกุมอก “…ฉันอยากให้เธอรู้ ว่าทั้งหมดนี่เพื่อตัวเธอเอง…เลิกกับเขา ไปให้ไกลจากเมืองนี้ ไปในที่ๆ เธอจะสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้ ลืมเรื่องของคนรุ่นเก่าให้หมดเถอะ”

 

คำตอบของคำวิงวอนนั้น คือเสียงหัวเราะแหบพร่าราวกับร้องไห้

 

“…ผมมาไกล…เกินกว่าจะกลับไปเป็นเด็กน้อยคนเดิมแล้วครับ”

 

……

………

 

วาสโก้กลับมาอีกครั้ง เพื่อพบว่าคนที่คอยเขาเสมอ ได้จากไปแล้วราวกับลมพัดผ่าน

 

ลินดานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างอันเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องบาดหมาง เธอถือวิสกี้ขวดใหญ่แล้วนั่งกระดกอย่างไม่เหลือมาดนุ่มนวลชวนฝัน

 

“ฉัน…ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้…คาดผิดไปเอง” บอกเสียงแผ่วพลางยกซดอีกอึกใหญ่ “คุณอาจจะคิดตัวเองทำเพื่อช่วยให้เขาปลอดภัย…แต่ฉันต้องขอโทษและสารภาพไว้ตรงนี้ ว่าฉันเองต่างหากที่ได้รับการจ้างวานให้กันคุณออกจากเขา”

 

แปลว่าจังหวะการมาถึงของเนเว่นั้น เป็นแผนที่ลินดากำกับขึ้นมา

 

“ใครกัน…” คนฟังครางในลำคอ

 

“คนที่รักเนเว่มากกว่าใคร” บอกกำกวม ซ้ำยังแสยะยิ้มเยาะ “แถมคุณก็ใจง่าย แผนการเลยไปได้ดี…”

 

วาสโก้กำหมัดแน่น…จะโทษใครได้ นอกจากเจ็บใจตัวเองที่โง่เง่า

 

“ดังนั้นฉันก็เลยโดนเด็กที่เอ็นดูโกรธ เขาไม่ฟังฉันอีกแล้ว…” หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินลากเท้าเนิบช้ามาหา “…นี่…ปลอบใจฉันทีได้ไหม”

 

มือเรียวแตะต้องความเป็นชายใต้กางเกง…ลูบโลมปลุกปั่น เบียดทรวงอกอิ่มเข้ากับแผ่นอกกว้าง ส่ายเอวพลางลูบไล้ไปทั่ว

 

ชายใดคงต้านทานได้ยากกับลีลานี้…ทว่า…ตอนนี้วาสโก้ไม่เกิดอารมณ์ใดอีกแล้ว เขาแห้งแล้งและไม่ตอบสนองแม้ถูกเล้าโลมนับสิบนาที…ทำได้แค่เพียงยืนเฉย

 

ลินดาหยุดการเคลื่อนไหวในที่สุด…เธอทดสอบเขาเสร็จสิ้น…รู้แล้วว่าความรู้สึกของชายหนุ่ม ตอนนี้ตกเป็นของใคร

 

เจ้าของร้านเดินกลับไปยังตู้ลิ้นชักโบราณอีกครั้ง หยิบสำเนากระดาษอีกชุดนึงแล้วโยนลงบนโต๊ะกลาง เรียกความสนใจให้วาสโก้หันมามอง

 

“คุณเคยเห็นสัญลักษณ์พวกนี้หรือเปล่า” เธอถามหยั่งเชิง

 

วาสโก้จำไม่ได้ในแวบแรก…แต่เมื่อตั้งสติทบทวนอยู่ครู่หนึ่งจึงเบิกตากว้าง “ผมเคยเห็นเนเว่ได้รับมันมาจากเพื่อนที่ชื่อปิแอร์”

 

“นี่คือวิธีส่งข่าวลับของพวกซองโตเน่” ลินดาหันไปหยิบของในลิ้นชักอีกครั้ง โยนลงโต๊ะตามมาอีกชุด “มันอาจจะอ่านยากสักหน่อย แต่ถ้ามีแบบให้เทียบอักษรก็แกะตามได้สบาย ถึงจะช้ากว่าการอ่านแล้วแปลเลยก็ตาม”

 

ดวงตาสีดำจ้องมองชุดอักษรที่ถูกแปลเป็นสัญลักษณ์…ปกติมันไม่ค่อยอยู่ในรูปแบบการเขียนบนกระดาษเขาจึงไม่เคยเอะใจ แต่ถ้าตามที่สาธารณะในเมืองใหญ่ๆ จะสามารถ ‘สัมผัส’ ได้ไม่ยาก

 

‘อักษรเบรลล์’

 

พวกซองโตเน่ใช้อักษรเบรลล์ในการสื่อสารกัน มิน่าถึงไม่ค่อยมีคนดักจับข่าวสารได้ ไม่ต้องใช้สัญญาณ ถูกมองผ่าน เมื่ออ่านแล้วแค่ทำลาย หรือเก็บเอาไว้ก็ได้ถ้ามั่นใจว่าไม่มีใครรู้

 

หากความคาใจของวาสโก้ตอนนี้ อยู่ที่คนเดียว “…เนเว่คือใครกันแน่”

 

“อย่าถามเยอะได้ไหม แค่นี้ฉันก็เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูไปแล้วเพราะคุณเป็นคนของวอลเธอร์” ลินดาแสดงสีหน้ารำคาญใจให้เห็นเป็นครั้งแรกนับจากรู้จักกันมา “อยากรู้มากกว่านั้น คุณก็ลองไปค้นหาจากเจ้าตัวเองสิ”

 

มาถึงจุดนี้ เขาสับสนไปหมดแล้วว่าหญิงขายข่าวอิสระนี้อยู่ข้างใดกันแน่ ค่อนไปทางซองโตเน่ แต่ยังยื่นมือมาช่วยเขา

 

หรือเหตุผลที่แท้จริงอาจไม่ใช่ฝ่ายใด แต่เป็นคนไหน

 

“ขอบคุณ…ลินดา…ผมสัญญาว่าจะปกป้องให้เขาปลอดภัย”

 

“ทำให้ได้อย่างปากว่าแล้วกัน” จบคำนั้น มือเรียวกระชากปืนลูกซองที่ซ่อนอยู่หลังตู้มาขึ้นลำอย่างชำนาญ “แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย…ถ้าวันรุ่งขึ้นพวกวอลเธอร์นั่งเรียนอักษรเบรลล์กันเต็มเมืองไปหมด”

 

วาสโก้นึกขอบคุณเธออย่างสุดใจ…ปนกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

 

———

 

 

รถ 4WD จอดคาอยู่หน้าบ้านโดยไม่ได้ดับเครื่อง เพราะเจ้าของรถรีบพุ่งเข้าไปในบ้านไม้ซุงทันทีที่มาถึง

 

ภายในบ้านเรียบร้อย เงียบสนิทและเป็นปกติเสียจนน่าใจหาย…แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องนอน กลับไม่พบกระเป๋าเป้ใบใหญ่และเสื้อผ้าของใครอีกคนเหลืออยู่

 

เนเว่มีข้าวของติดตัวน้อยเหลือเกิน น้อยอย่างที่เขานึกหวั่นเสมอ และในที่สุดอีกฝ่ายก็จากเขาไปอย่างไร้ร่องรอย

 

เจ้าของบ้านนั่งลงกับพื้น…เขาพลาดไป แวบแรกในหัวคืออีกฝ่ายอาจจะแวะไปหาพ่อที่โรงพยาบาล เขาวนไปแล้วแต่ไม่พบจึงรีบบึ่งรถมาที่บ้าน หวังให้อีกฝ่ายยังคงอยู่รออย่างที่เคยเสมอมา…แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

 

โทษตัวเองอยู่พักใหญ่ จนทำใจเริ่มใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาลองค้นดูตามซอกตู้มุมเตียงมุมโซฟา…ก่อนหน้านี้เขาเห็นเนเว่เผลอวางเศษกระดาษสัญลักษณ์เอาไว้บ้าง อีกฝ่ายคงมั่นใจมากว่าเขาไม่มีวันรู้เท่าทัน…เป็นตามนั้น เขาไม่เคยฉุกใจจนกระทั่งลินดาแนะแนวให้

 

แต่หาจนทั่วบ้านก็ไม่เจอ เกือบจะสิ้นหวังแล้ว วาสโก้นึกถึงบางสิ่ง…ห้องเก็บฟืน ตอนที่อากาศยังหนาวเหน็บนั้น เพื่อประหยัดฟืน เนเว่จะเก็บเศษขยะแห้งที่เผาได้มาไว้รวมกัน ทั้งกิ่งไม้ ใบไม้แห้ง เศษกระดาษ…เมื่อหน้าหนาวผ่านไป เตาผิงไม่ได้จุดใช้อีก แต่ขยะยังคงเก็บสะสมไว้เสมอ

 

เจ้าของบ้านเปิดถุงขยะแห้งสำหรับเผาเป็นเชื้อเพลิง คุ้ยเขี่ยทุกซอกมุม และได้เศษกระดาษมีสัญลักษณ์ออกมานับสิบแผ่น…เขานำแบบเทียบอักษรของลินดามาเปิด แกะอ่านไปเรื่อยๆ

 

เนื้อหาในข่าวนั้น คือการแจ้งพิกัดที่อยู่ปัจจุบันของชาร์ลส์และเฮนเรียตต้า, จำนวนเวรยามที่เฝ้า, สมควรเสี่ยงรึเปล่า, พร้อมหรือไม่พร้อม,กำหนดการเดินทางและจุดหมาย, เวลาที่คาดว่าเป้าหมายจะออกจากตัวอาคาร ฯลฯ

 

ไม่ต้องคิดให้มากความ นี่คือข้อมูลสำหรับเตรียมการลอบสังหาร

 

วาสโก้สะกดตัวเองไว้ไม่ให้แจ้งข่าวไปยังโฆเซ่ เพราะทำเช่นนั้นเนเว่ต้องถูกจับตาย…เขาเปิดกระดาษสำเนาชุดใหญ่ที่ลินดามอบตัวจริงให้กับเนเว่ แกะอ่านจนรู้เรื่องราว

 

ทางซองโตเน่ เรียกเนเว่กลับไปในฐานะทายาท ชักชวนให้ฉวยโอกาสที่ชาร์ลส์กำลังป่วยหนัก โจมตีโดยเอาความแค้นในอดีตต่อ ‘โรแบร์โต้’ และ ‘เตียเร’ อดีตนายใหญ่และนายหญิงแห่งซองโตเน่เป็นเหตุผล…แก้แค้นให้พ่อแม่ที่วายชนม์ไป

 

วาสโก้เพิ่งรู้ตัว…ว่าเขารู้จักเด็กคนนี้น้อยเหลือเกิน

 

ระหว่างที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการแกะข้อมูลที่เหลือนั้้น เสียงข้อความในสมาร์ทโฟนก็รัวเข้ามาชุดใหญ่ เป็นข้อความจากโฆเซ่ และสมาชิกคนอื่นๆ แจ้งเตือนให้ระวังภัย…เพราะการโจมตีของพวกซองโตเน่รุนแรงมากขึ้นทุกวันแล้ว

 

รวมไปถึงข่าวล่าสุด ว่าทางซองโตเน่พยายามเชิดผู้นำคนใหม่ขึ้นมา

 

ในข้อความนั้นแนบรูปใบหน้าตรงของเนเว่…

 

TBC

  • งวดที่แล้วแจกมีด งวดนี้แจกปังตอ สับมันค่ะ
  • ตอนนี้ก็เฉลยแล้วนะคะ ว่าเนเว่เป็นใคร จะจบไงเนี่ยยยยยย (;{}; #เดี๋ยวนะเอ็งเป็นคนเขียน

[Novel] Be[lie]ve. – 17&18

17-05-31-22-03-47-272_deco

 ตอนเก่าๆจ้า

 

 

17.

 

 

อากาศฤดูร้อนเอาแน่เอานอนไม่ได้ พอๆ กับสถานการณ์ภายในเมืองเรเวนที่เริ่มระอุ

 

อาการของชาร์ลส์ไม่ดีขึ้นเลยนับจากเข้าโรงพยาบาล ทำได้เพียงประคองไม่ให้ทรุดลงเท่านั้น เฮนเรียตต้าจึงงดทุกอย่างที่ไม่สำคัญ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเฝ้าสามี ส่งผลให้วาสโก้ไม่มีงานใดไปด้วย

 

เขาถือว่าช่วงนี้เป็นการพักร้อน จึงนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา อ่านหนังสือที่ยังค้างคา…ไว้ช่วงเย็นจะชวนอีกคนออกไปช่วยกันรดน้ำต้นอ่อน…เขาเพิ่งทดลองปลูกไม้ผลเป็นครั้งแรกในที่ดินส่วนตัวหน้าบ้าน

 

ทว่าแผนนั้นดูจะล่มเสียแล้ว เมื่อเนเว่ถือกุญแจมอเตอร์ไซด์ออกมา

 

“ผมขอยืมรถหน่อยนะครับ” บอกพลางส่งยิ้มออดอ้อน

 

“จะไปไหน” วาสโก้ลุกขึ้นมานั่ง

 

“เข้าเมืองครับ” พูดจบก็ยื่นสมาร์ทโฟนให้อ่านหน้าจอ เป็นข้อความจากอังเดร “พ่ออยากให้ไปช่วยหยิบเอกสารในบ้านเก่าให้หน่อย จะให้อังเดรไปกลับก็กลัวจะเหนื่อย อายุเขาไม่น้อยแล้ว”

 

คนฟังเดาะลิ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง…ฟ้าเริ่มครึ้มแล้ว จำได้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ชอบฝน คราวก่อนแค่ตั้งเค้าก็ยกเลิกแผนการจนหมด “ด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

“กับเรื่องของพ่อ ต่อให้ต้องว่ายน้ำข้ามอ่าว ผมก็ทำได้ครับ” เจ้าตัวแสร้งทำหน้าขึงขัง

 

“ให้ฉันขับรถไปด้วยไหม” เสนอตัวอย่างห่วงใย สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขากังวล

 

“ไม่เอาครับ” เนเว่ปฏิเสธอย่างว่องไว ยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก “คุณกลัวพ่อผมใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องฝืนใจไปเจอท่านอีกหรอก”

 

ไอ้…เด็ก…บ้า ทำไมรู้ดี…

 

แขนใหญ่เอื้อมจะไปคว้าเอวเล็กมาฟัดให้หายเคือง แต่เจ้าตัวใช้ขาซ้ายข้างเดียวกระโดดหลบเป็นกระต่าย

 

“ผมไปไม่นานหรอก ไปด้วยมอเตอร์ไซด์สะดวกกว่า ไม่ต้องกังวลกับเรื่องที่จอดในโรงพยาบาลจะไม่พอด้วย”

 

เหตุผลนี้ ทำให้วาสโก้ยอมรับในที่สุด เขาพยักหน้าให้ “รีบไปรีบกลับแล้วกัน”

 

ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต เนเว่ยิ้มกว้างแล้วโบกมือ ดูเหมือนจะมั่นใจมากว่ายังไงต้องได้ไป เจ้าตัวจึงใส่ชุดเสื้อกันลมสำหรับขี่มอเตอร์ไซด์เอาไว้พร้อม แล้วรีบเดินดังกึกกักมุ่งไปทางประตู

 

“เดี๋ยวก่อน” เจ้าของบ้านเรียกเสียงเข้ม ก่อนจะชี้ตัวเอง

 

เนเว่ขำพรืดกับท่าทางนั้น ใช่แล้ว…เขาลืมจูบลา

 

ร่างเล็กเดินกลับมาหา คล้องแขนรอบลำคอใหญ่ นั่งคร่อมลงบนตักกว้าง…ยิ้มหวานเมื่อคนตัวสูงก้มลงมาหา เขาเงยหน้ารับจูบหวานละมุนปนวาบหวามนั้น

 

“เดี๋ยวไม่ได้ไปกันพอดี” บอกพลางลุกขึ้นยืน ปัดมือที่กำลังยุ่มย่ามกับบั้นท้าย แล้วรีบออกจากบ้านเพราะกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ

 

วาสโก้เอนตัวลงนอนอีกครั้ง ฟังเสียงมอเตอร์ไซด์ห่างออกไป

 

ไม่นานนัก เขาค้นพบว่าอ่านหนังสือเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว

 

ความกังวลสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากโซฟา เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วคว้ากุญแจรถยนต์ ขับตามออกไป…ตั้งใจว่าจะคอยดูอีกฝ่ายห่างๆ

 

แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องของเขากับเนเว่…แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ จริงไหม

 

———

 

เมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล วาสโก้จึงอุ่นใจพอควร เพราะหนุ่มน้อยของเขาทำตามที่บอก

 

คนซุ่มดูเอนหลังกับเบาะรถ คว้าเครื่องเกมที่พกมาด้วยขึ้นมาเปิด กดเล่นแก้เบื่อระหว่างรอคอย…หากอีกฝ่ายออกมาแล้วตรงกลับบ้าน เขาก็แค่ขับไปแวะมินิมาร์ทสักแห่ง ซื้อนมหรือเบียร์เพิ่มเติมแล้วกลับไป(เพราะเนเว่ไม่ยอมกินเหล้าที่เขาหมักเอง) บอกว่าออกไปตุนเสบียงเมื่อถึงบ้าน เท่านี้ก็แนบเนียนไม่มีอะไรให้สงสัย

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เนเว่จึงออกมา…ทว่าแทนที่จะขึ้นมอเตอร์ไซด์ เจ้าตัวกลับเดินเลยไปที่อื่น

 

ระยะจากในรถไม่สามารถเห็นได้เนื่องจากอีกฝ่ายเลี้ยวตรงหัวมุมถนน วาสโก้โดดลงจากรถ ล็อกประตูเรียบร้อยแล้วจึงรีบสาวเท้าตามไป…เขาเห็นเนเว่โทรศัพท์ตลอดทาง ก่อนจะชะงัก แล้วเลี้ยวเข้าไปตรงที่ว่างระหว่างตึกสูง

 

เลือดในกายวาสโก้สูบฉีดแรงขึ้น เมื่อพบว่ามีคนๆ หนึ่งดักรอเนเว่อยู่…เป็นชายรูปร่างผอมสูง ไว้ผมยาวรกรุงรัง ท่าทางคล้ายคนติดยา…ฝ่ายนั้นลดโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ลงเมื่อรู้ว่าอีกคนมาถึง

 

แต่ฝ่ายเปิดการสนทนาก่อนคือเนเว่ “หมายความว่ายังไง ที่จะเลิกเป็นสายแล้ว”

 

“ก็อย่างที่บอกแหล่ะน้องชาย…” หนุ่มผมยาวเกาคอ ทำท่าจะเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจซุกมือเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ตตัวเปื่อย “ตอนนี้พวกวอลเธอร์เริ่มออกล่าหัวสายข่าว ขืนฉันทำต่อเดี๋ยวชีวิตจะอับเฉาน่ะ”

 

“อ้อ…ลืมไปว่านายขายข่าวของวอลเธอร์ แต่ก็ซื้อยาของวอลเธอร์ด้วย” รอยยิ้มบางจุดขึ้นที่มุมปาก “แต่ว่า…ฉันจ่ายมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้ว”

 

“ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน” ขี้ยาโบกมือที่ไม่ได้ซุกเสื้อไปมา “อย่าใจจืดใจดำนักเลย นายเองก็น่าจะมีเงินพอควร ไม่มีฉัน นายก็คงหาคนอื่นทำงานแทนได้”

 

“แน่นอน…” ตอบพลางทอดถอนใจ “เพียงแค่คิดว่าแทนที่จะจ้างแหล่งข่าวเดียว สู้หาแหล่งอื่นสำรองไว้ด้วยจะรอบคอบกว่า…ที่ไหนได้…จากสายข่าวดันได้เศษขยะมาตัวนึงแทน”

 

จบคำนั้น ‘เศษขยะ’ ควักปืนติดที่เก็บเสียงออกมาจากอกเสื้อ กระชากรางสไลด์ จ่อลำกล้องมายังใบหน้าขาวจัด

 

วาสโก้ใจหายวาบ อยากกระโจนออกไปขวาง แต่ถ้าทำแบบนั้นคงไม่ทันจังหวะลั่นไก…เขาได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เนเว่พูดอะไรยั่วยุอีกฝ่ายไปมากกว่านี้…อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะหาทางช่วยได้

 

“ตอนแรกฉันว่าจะยึดแค่มัดจำ ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว…” บอกพลางขยับปลายเท้ายุกยิกไปมา กระบอกปืนแกว่งซ้ายขวา บ่งบอกว่าไม่ชำนาญนัก “แกต้องจ่ายที่เหลือมาให้หมดด้วย!”

 

เสียงตะคอกนั้น ดังพอที่จะทำให้คนได้ยินสะดุ้ง

 

หากเนเว่สงบนิ่ง…

 

“แย่จัง…กะทันหันแบบนี้ ใครจะเบิกเงินเตรียมมา” เสียงนุ่มนั้นติดจะเย้ยหยัน  “อย่างน้อย นายควรจะโทรหลอกฉันว่าได้ข่าว ‘ปังๆ’ มาแล้ว และให้ฉันเอาเงินเต็มจำนวนมาแลก”

 

ประกอบคำว่า ‘ปังๆ’ นั้น นิ้วเรียวข้างขวาทำท่าปืนแล้วยื่นไปแตะที่เก็บเสียงสีถลอก

 

“มึง…” ขี้ยาแยกเขี้ยว รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่เหยื่อดูจะไม่สะทกสะท้านกับการข่มขู่ “อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย! กูจะเป่าหัวมึงตอนไหนก็ได้!”

 

เนเว่ยิ้มตาหยี

 

“ทำไม่ได้หรอก”

 

ขาดคำ…

 

เท้าปลอมก้าวไปข้างหน้าส่งเสียงดังกึกใหญ่ ย่นระยะระหว่างร่างเล็กกับขี้ยาให้สั้นลง มือขวาที่ทำท่าล้อเลียนเมื่อครู่คว้าจับกระบอกปืนเอาไว้ เจ้าขี้ยาตกใจ นิ้วเหนี่ยวไก ทว่าปืนกลับไม่ระเบิดกระสุนออกมา!

 

ในชั่วพริบตานั้น เนเว่ง้างหมัดซ้าย ซัดเข้าไปสุดแรงที่ชายโครงขวา เจ้าตัวสูงทรุดฮวบลงมา หมัดเล็กชกอัดเข้ากกหูสุดแรงตามติด ขี้ยาทรุดลงไปอีกจนก้นแนบพื้น ปล่อยให้ปืนถูกกระชากออกไปจากมือ

 

เนเว่จิกหัวศัตรูด้วยมือซ้ายให้มั่นคง แล้วตีเข่าขวาใส่ใบหน้านั้นซ้ำๆ จนเลือดหยดลงพื้น…ซัดไปห้าที เช็คดูว่ายังไม่หมดสติจึงถีบอกให้ล้มตึงลงไปนอน

 

“ถ้าจะขู่ใคร ช่วยมืออาชีพกว่านี้หน่อยนะ” บอกพลางยกปืนในมือขึ้นมา “นายปลดเซฟแล้วก็จริง แต่ตอนชักรางสไลด์ ไม่สังเกตเลยเหรอว่ามัน ‘Double feed’”

 

Double feed เกิดจากการที่ปืนคัดปลอกออกได้ไม่สมบูรณ์ เกิดได้ทั้งจากแรงดึงรางสไลด์น้อยไปหรือความผิดปกติของแม็กกาซีน ทำให้ลูกปืนถูกป้อนเข้ารังเพลิงไปติดคาอยู่สองนัด ไกค้าง ไม่สามารถยิงออกไปได้

 

เนเว่มองปืน เป็น Glock รุ่นบ้านๆ เขาล็อกรางสไลด์ ปลดแม็กกาซีนออกมาหนีบไว้ระหว่างนิ้วก้อยกับนิ้วนางขวา ใช้มือซ้ายกระชากรางสไลด์ถี่ๆ สามครั้ง ใส่แม็กกาซีนคืน กระชากรางสไลด์ซ้ำ จ่อไปยังขี้ยาแล้วเหนี่ยวไก

 

เสียงปืนยิงผ่านที่เก็บเสียงนั้น แม้ไม่ระเบิดลั่น หากข่มขวัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ…ขี้ยาตาเหลือกโพลงแล้วช็อกหมดสติไป ทั้งที่กระสุนไม่ได้ฝังลงร่าง แค่เฉียดบาดใบหู

 

“ไม่รู้ว่าปืนมีปัญหารึเปล่า แต่ที่เก็บเสียงนี่ถึงจะเก่าแต่ของดีทีเดียว ฉันขอไปนะ…อ้าว…ไม่ได้ยินแล้วเหรอ…งั้นถือว่าอนุญาตนะ”

 

พูดเองเออเองคนเดียวเสร็จแล้ว เนเว่ซุกปืนใส่อกเสื้อด้านซ้าย ก่อนจะชะงักเพราะมีกระบอกเดิมเสียบอยู่ในซองสะพายไหล่ จึงต้องเปลี่ยนไปใส่ซองขวาที่ยังว่างแทน

 

วาสโก้หลบวูบเข้าในร้านค้าใกล้ๆ เมื่อคนตัวเล็กเดินออกมาจากซอกตึก…เขาซุ่มดูจนอีกฝ่ายก้าวขึ้นมอเตอร์ไซด์ ขับไปยังทางออกนอกเมือง…ที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน

 

ความสับสนถาโถมเข้าสู่จิตใจ…เหมือนเห็นกระต่ายน้อยกำลังกินเนื้อไฮยีน่า

 

ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงสั่นรัว หน้าจอแสดงชื่อของโฆเซ่ เขาจ้องมองอยู่หลายอึดใจก่อนจะกดรับ

 

โฆเซ่นัดแนะอย่างรวดเร็วให้ไปหา เขามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาด้วย

 

 

TBC

 

18.

 

 

เพราะอยู่ในตัวเมืองพอดี วาสโก้จึงใช้เวลาไม่นานนักไปถึงคฤหาสน์ของวอลเธอร์ โฆเซ่ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ประจำดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เขามาถึงเร็วขนาดนี้

 

“เห็นบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ เลยรีบขับมาไวกว่าปกติไงล่ะ” ชายหนุ่มโกหกคำโต จึงๆ เขานั่งนิ่งในรถ ทำหัวให้ว่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะสตาร์ทเครื่อง แต่ก็ยังมาถึงเร็วกว่าปกติอยู่ดี

 

“มาไวก็ดีแล้ว” คนอายุมากกว่าพับหนังสือพิมพ์เก็บ และเข้าเรื่องงานทันที “ผมมีคนต้องสงสัย อยากจะให้คุณช่วยพิจารณา”

 

“คนต้องสงสัย…” วาสโก้ทวนคำ ขออย่าให้เป็นคนของเขา…แม้สิ่งที่เพิ่งเห็นมากับตานั้นจะน่าตกใจแค่ไหน

 

โฆเซ่หยิบอุปกรณ์ที่พกติดตัวขึ้นมา ด้วยวัยที่สูงขึ้นแต่ต้องปรับตัวให้ทันสมัย ทำให้เขาเลือกที่จะพกแท็บเล็ตเครื่องใหญ่แทนสมาร์ทโฟน เจ้าตัวเลือกเมนูต่างๆ อย่างเชื่องช้า โดยไม่รู้เลยว่าสร้างแรงกดดันให้กับคนมองขนาดไหน

 

“อ้อ เจอแล้ว” หน้าจอกว้างหันออกจากตัวเจ้าของ “คนนี้คุณเคยเห็นไหม”

 

วาสโก้มองรูปแอบถ่าย เป็นชายร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาไม่โดดเด่นอะไร เจ้าตัวกำลังถือถุงกระดาษใส่อาหาร แต่คงเพราะไม่ทันระวัง มุมถุงด้านนึงจึงขาดออก เผยให้เห็นฟ่อนธนบัตรซ่อนอยู่

 

คนถูกถามส่ายหน้า “ผมไม่เคยเห็น”

 

“หมอนี่น่ะ เป็นคนฟอกเงินจากซองโตเน่ ถูกส่งมาวางฐานกำลังในเมืองนี้” โฆเซ่อธิบายขณะเลื่อนหน้าจอ หารูปต่อไป “คนนี้ล่ะ”

 

ดวงตาสีดำเพ่งมองรูปที่สอง คราวนี้ภาพมืดมัวเพราะแสงน้อยและซูมถ่ายเข้าไปในหน้าต่างอพาตเมนต์เก่าโทรม แต่เขากลับจำได้แม่นยำ “หมอนี่…เคยเป็นคนคุ้มกันขบวนฝิ่นของทางเราเมื่อสามปีก่อน มันหนีหายไป ตามตัวไม่ได้ ในที่สุดก็โผล่หางแล้วเหรอ”

 

“บิงโก! มันไปเข้าพวกกับซองโตเน่แล้ว” ชายสูงวัยกว่าแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ

 

“รู้ตัวอีกที พวกซองโตเน่ก็เหมือนจะล้อมและแทรกซึมพวกเราเอาไว้หมดแล้ว” วาสโก้เกาหัว รู้สึกยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ใช่…และมันอาจจะซึมลึกเข้ามาเกินคาด” โฆเซ่ถอนหายใจแรง เลื่อนหน้าจอต่อไป คราวนี้เขาไม่เรียก แต่รอให้อีกคนหันมามองเอง

 

เลือดในกายของวาสโก้คล้ายไหลย้อน หากยังสติดีพอจะเก็บอาการอยู่

 

รูปที่สามนี้ ถ่ายใกล้กับโรงพยาบาลกลางแห่งเรเวน บุคคลในนั้นสวมเสื้อฮู้ดสีดำคลุมศีรษะ มองเผินๆ เหมือนเป็นแฟชั่นข้างถนนของเด็กวัยรุ่นยุคนี้…หากดวงหน้าขาวจัดนั้นโดดเด่นออกมาจากเนื้อผ้ามืดทึม รวมไปถึงนัยน์ตาสีฟ้า…ที่ในรูปติดจะเย็นชายากจะหยั่งความคิด

 

วาสโก้เลื่อนสายตาจากรูปขึ้นมองโฆเซ่ พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาเช่นกัน…

 

“ผมรู้ว่านี่เป็นเด็กของคุณ” ผู้ที่เป็นดั่งองครักษ์ของตระกูลเอ่ยเสียงเรียบ “จึงอยากมาถามคุณเอง…ว่ารู้จักเขาดีแค่ไหน

 

ใต้ฝ่ามือคนถูกถามเย็บวาบ เขาจิกเล็บลงกับเนื้อ ความเจ็บพอช่วยให้เลือดสูบฉีดขึ้นมา คงไม่ทำให้หน้าซีดนัก คำโกหกต้องถูกยกมาอ้าง อย่างแนบเนียน และมีเหตุผลพอ

 

“เด็กนี่เป็นพวกขายตัว ลีลาเด็ดมากจนผมติดใจ…” ริมฝีปากเหยียด รอยยิ้มหยาบคาย “เอามันกว่าผู้หญิงเสียอีก รูคับ ตอดเก่ง เอวร่อนเหมือนแมวติดสัดทุกคืน”

 

“โอเค เด็ดจริง แต่ไม่ต้องอวดขนาดนั้น” โฆเซ๋ยกมือห้าม “ขอสั้นๆ ว่าเด็กนี่มีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่า”

 

หากขาวสะอาดเกินไปคงไม่วายถูกสงสัย วาสโก้จึงใส่ไฟลงในเรื่องราว “…มันมีเพื่อนเป็นสายข่าวเร่ร่อน พวกไม่สังกัดฝ่ายไหน แต่เด็กนี่หากินด้วยก้น อะไรยุ่งยากต้องใช้สมองไม่ใช่ทางของมันหรอก…”

 

คนสูงวัยกว่าพยักหน้ารับรู้ข้อมูล “งั้นก็ไม่น่าจะอันตรายอะไร”

 

“ผมก็ว่าอย่างนั้น” แสดงความเห็นด้วยอย่างไม่ชี้นำนัก

 

“แต่…”

 

เสียงกดต่ำนั้น ทำเอาคนฟังกดดัน

 

“ด้วยฐานะของคุณในตอนนี้…ผมแนะนำว่าควรจะรีบเขี่ยเด็กนั่นออกไป…จะดีกับชีวิตมากกว่า”  โฆเซ่ใช้สายตานิ่งเรียบ หากหนักแน่นราวจะตรึงร่างคนถูกมอง

 

วาสโก้พยักหน้า

 

“ผมเข้าใจ…จะรีบหาทางจัดการ”

 

ทั้งที่ความจริงยังหาทางออกให้ตนเองไม่ได้

 

TBC

วาสโก้มีความงานเข้า….

ใกล้จะได้เฉลยปมในเรื่องทั้งหมดแล้วค่ะ ไม่นานๆ  (- -,,

[Novel] Be[lie]ve. – 15&16

17-05-30-21-10-36-801_deco

ตอนเก่าๆเก๊าเก่า

15.

 

 

แม้จะได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เพราะได้ปลดปล่อยเต็มที่ ทำให้วาสโก้รู้สึกตัวเบาอย่างบอกไม่ถูก…เขาได้พิสูจน์ความเป็นชาย ได้ไขข้อข้องใจว่าตนเองยังไม่บกพร่อง

 

เดวิดส่งข้อความมาหาตอนเช้าตรู่ ถามว่าพอใจกับรางวัลที่เขาคัดมาหรือไม่ วาสโก้ตอบกลับไปสั้นๆ ว่าไม่ผิดหวัง เป็นอันจบข้อบาดหมางกัน…

 

แม้ระหว่างทำกับหญิงสาวทั้งสอง เขาจะเห็นใบหน้าของใครบางคนลอยมา

 

ถามว่ารู้สึกผิดไหม…มีบ้าง แต่ตราบใดที่เนเว่ไม่รู้ คงยังอยู่ร่วมกันได้…เขาเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว การซื่อสัตย์ต่อใครคนเดียวนั้นดูจะจืดชืดเกิน…ตอนที่ยังหวานชื่นกับโรซาเลีย เขายังหาของหวานแบบนี้กินบ้างเมื่อมีโอกาส แต่ยังไง อาหารจานหลักย่อมเป็นอาหารจานหลัก เขารู้ว่าควรให้ความสำคัญกับอะไร

 

ชายหนุ่มแต่งตัวด้วยสูทชุดเดิม ให้ทิปเพิ่มเติมกับหญิงบริการเพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่ไปนินทาลับหลังว่าขี้เหนียว ก่อนจะออกจากห้องพักของโรงแรมสี่ดาว…ที่เดียวกับที่เขาและเนเว่ไปทานอาหารด้วยกัน สะดวกที่สุดเพราะเขาจอดรถเอาไว้ที่นั่น

 

จะว่าไป…ตอนทานบุฟเฟต์ เนเว่บอกอะไรสักอย่าง…เหมือนบอกว่าจะกลับด้วย แต่ก่อนหน้านี้มีบ้างที่เขาติดพันงานจนไม่ได้กลับบ้าน อีกฝ่ายคงจะจัดการเรียกแท็กซี่เองได้

 

แดดฤดูร้อนไม่ค่อยแจ่มใสนักเพราะมรสุมกำลังเฉียดเข้ามาใกล้ วาสโก้ถอดแว่นกันแดดออกเพราะฝนตั้งเคล้าเมื่อเขาขับรถมาใกล้ถึงถนนเชื่อมระหว่างเมือง

 

…บนเนินดินหน้าห้างสรรพสินค้านั้น ร่างคุ้นตานั่งอยู่…

 

วาสโก้อุทานลั่น เขารีบหักเลี้ยวเข้าจอดริมทาง ลงจากรถอย่างรวดเร็ว ตรงไปหาหนุ่มน้อย

 

แล้วต้องเสียวแปลบในอก…เมื่อเห็นรอยแดงแทรกอยู่ในนัยน์ตาสีฟ้า

 

“…กลับบ้านกันเถอะ” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง ขณะจับต้นแขนเย็นเฉียบ แม้จะอยู่ในฤดูร้อน แต่อากาศตอนกลางคืนนั้นไม่อบอุ่นพอ

 

เนเว่ไม่มองหน้าคนมารับ หากยอมลุกตามแรงดึง เขาขึ้นรถแล้วเอนศีรษะพิงพนัก หลับตาลงอย่างอ่อนล้าเพราะอดนอนมาทั้งคืน

 

ยิ่งกว่าถูกตวาด…ยิ่งกว่าถูกทุบตีหรือร้องไห้ใส่หน้า…วาสโก้จุกอกกับสภาพของคนนั่งข้างๆ…เขาจำได้แล้ว จำสัญญาที่ปากพล่อยเอาไว้

 

เป็นเขาเองที่ทำลายความเชื่อใจนั้นลงอย่างยับเยิน

 

แม้จะรู้สึกผิดแค่ไหน แม้อยากจะถามว่าต้องการให้ชดใช้อย่างไร หากตอนนี้จะทำอะไรได้ นอกจากขับรถพาคนที่อ่อนแรงกลับไปพักก่อน…

 

———

 

 

ตลอดทางระหว่างกลับมายังบ้านไม้ซุง เนเว่ไม่ปริปากเลยสักคำ เมื่อรถจอดสนิทแล้วก็แค่ลืมตาขึ้น เดินลงจากรถ ตรงเข้าบ้าน ผ่านไปยังห้องนอน

 

วาสโก้จัดการปิดประตูโรงจอดเสร็จแล้วค่อยเดินเข้ามาในบ้าน ทีแรกเขานึกว่าเนเว่เข้านอนเลย แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บเสื้อผ้าลงใส่กระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเข้าบ้าน อีกฝ่ายก็ถือกระเป๋าออกมานั่งรอที่โซฟาแล้ว

 

ข้าวของของเนเว่น้อยเสียจนน่าใจหาย…เหมือนพร้อมจะจากไปทุกเมื่อ

 

“นาย…รู้แล้วเหรอว่าฉันทำอะไร” เสียงนั้นฝืดคอ ถามคำถามโง่ๆ ออกไป

 

คำตอบกลับ ก้ำกึ่งระหว่างโกหกกับความจริง “ผมบังเอิญเห็นพอดี ตอนย้อนกลับไปโรงแรม กะจะดักรอคุณที่นั่น”

 

วาสโก้ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกแขนขาตัวเองเก้กังไปหมด “…ที่นายไม่พูดกับฉันเลยตลอดทาง คงเพราะโกรธสินะ”

 

“ไม่ใช่ครับ” เนเว่ยิ้ม…เป็นยิ้มที่เศร้าลึก “ผมกลัวว่าถ้าพูดแล้วจะหยุดปากตัวเองไม่ได้ ผมกลัวถูกคุณทิ้งไว้กลางถนน…อย่างน้อยขอให้ได้กลับมาเก็บของก็ยังดี”

 

“จะไปจริงๆ เหรอ…” ขาใหญ่ก้าวเข้าไปหา อยากคว้าร่างนั้นเอาไว้ แต่กลัวจะถูกผลักไสจึงเลือกจะนั่งลงข้างๆ แทน

 

นัยน์ตาสีฟ้าเบนมองคนนั่งข้าง คิ้วมุ่นเข้าหากันอย่างข่มกลั้นอารมณ์ “อยากให้ผมไปจากที่นี่ไหมครับ”

 

“ไม่” คำตอบนั้นหลุดจากปากไม่ต้องคิด “อย่าไป…ฉันขอโทษ แต่อย่าไปเลย”

 

คนฟังหรี่ตาลง ยิ้มอย่างขื่นขมระคนโล่งใจ “ดีจัง…ผมกลัวเหลือเกินว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้อีกแล้ว”

 

วาสโก้ดึงร่างเล็กเข้ามากอด

 

“นาย…ไม่โกรธฉันเหรอ” อดถามไม่ได้

 

“แค่รู้สึกมึนตึง…หึงหวงครับ อาจจะเพราะผมเป็นผู้ชาย จึงพอจะเข้าใจความรู้สึก…ว่าทำไปเพราะสนุก ไม่จริงจังอะไร” เสียงที่ตอบนั้น แหบพร่ากว่าปกติ “แต่ถ้าวันหนึ่ง คุณเจอคนที่ใช่และอยากจริงจังด้วย…กรุณารีบบอกผมนะครับ”

 

สนแต่ความสะดวกของเขา สนแต่การได้อยู่เคียงข้าง และไม่ลังเลที่จะไปถ้าขวางทาง

 

วาสโก้ขบฟันแน่น…เขาไม่เคยเจอใครคิดถึงเขาขนาดนี้มาก่อน…แล้วเขายังจะระยำใส่เทวดาตัวน้อยแบบนี้อีกหรือ

 

“ฉันสัญญา…ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

 

“อืม…” คำขานนั้น มาพร้อมอ้อมแขนบางที่กอดตอบว่ารับรู้

 

…หากความเชื่อใจที่มีอยู่ ไม่อาจเต็มเติมได้อีกต่อไป…

TBC

 

16.

 

เพราะความรู้สึกผิด และเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรักตนเองจริง วาสโก้จึงทำดีกับเนเว่มากขึ้นกว่าเดิม

 

ความพยายามของเขาตลอดหลายวันไม่สูญเปล่า…ในที่สุดคนไร้หัวทางพ่อครัวแบบเขาก็สามารถทอดแพนเค้กได้โดยปลอดภัย

 

“เนเว่ ตื่นได้แล้ว ไปดูสิว่าฉันทำอะไรให้”

 

อารมณ์ดีใจทำให้วาสโก้รีบปลุกคนที่ยังหลับ เนเว่ผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกา พอเห็นว่ายังอีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาปลุก จึงคว่ำหน้าลงกับหมอนอีกหน

 

“เจ้าขี้เซา!” มือใหญ่ตวัดผ้าห่มออก แล้วช้อนร่างในชุดนอนขึ้นอุ้ม “ไปกินมื้อเช้ากัน”

 

“อือ…” คนตัวเล็กประท้วงเล็กน้อยเมื่อถูกวางลงบนเก้าอี้ในครัว เขาขยี้ตาอย่างง่วงงุน เมื่อตาสว่างขึ้นแล้วจึงเห็นแพนเค้กสีสวยในจานตรงหน้า ไม่มีรอยไหม้ เพียงแต่รูปร่างออกจะบิดเบี้ยวเหมือนอามีบาไปหน่อย  “ว้าว…ในที่สุดก็ทอดได้แล้วนะครับ…เก่งจัง”

 

วาสโก้อดไม่ได้ ขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มอย่างแรง “แฟนทำอาหารให้แต่เช้าแบบนี้ ช่วยชมให้มันมีชีวิตชีวาหน่อยได้ไหม”

 

แต่การอุ้มออกมากินข้าวแต่เช้าแบบนี้…มันเหมือนพฤติกรรมของพ่อมากกว่าแฟนนะครับ เนเว่ได้แต่คิดในใจ

 

“โอ๋ๆ มามะ รางวัล” แม้จะยังงัวเงีย แต่พยายามเอาใจด้วยการคว้าเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะนึกได้ว่าตั้งแต่เข้าหน้าร้อนวาสโก้ไม่ค่อยสวมเสื้อนอน จึงเปลี่ยนเป็นดึงแขนให้อีกคนก้มลงมา…และเพราะยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยไม่มั่นใจนัก แทนที่จะจูบริมฝีปาก เนเว่เปลี่ยนไปจูบบนหัวนมสีคล้ำแทน

 

“เจ้าเด็กลามก” คนได้รางวัลกัดฟันกรอด อยากจะกอดปล้ำเอาคืน แต่สงสารที่ยังเช้าเกินไป จึงทำแค่จูบหน้าผากเนียนแล้วปล่อย

 

เนเว่หันมาสนใจอาหารเช้า ลงมือทานไปได้สองสามคำแล้วนึกได้ว่าควรถามอะไร “วันนี้ต้องไปไหนหรือเปล่าครับ”

 

วาสโก้ไม่ตอบ เพราะกำลังอ่านข้อความจากสมาร์ทโฟน…และเนื้อหาในนั้นเกี่ยวพันกับตระกูลวอลเธอร์ เป็นคำเตือนที่ส่งให้กับสมาชิกทุกคนในสังกัด

 

ดูเหมือนว่าข่าวเรื่องชาร์ลส์ป่วยหนักจะรั่วไหลโดยจับมือใครดมไม่ได้ สถานการณ์จึงตึงเครียดมาระยะหนึ่งแล้ว และช่วงนี้ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะเริ่มมีการโจมตีสมาชิกของตระกูล…ตั้งแต่ระดับหัวหน้า ไปจนถึงรากหญ้าต่างๆ

 

คงไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักถ้าเป็นการดักทำร้ายกันซึ่งหน้า สมาชิกแต่ละคนล้วนเชี่ยวชาญการต่อสู้ ไม่เช่นนั้้นคงไม่สามารถทำงานกับวอลเธอร์ได้ แต่การประทุษร้ายครั้งนี้ กลับพุ่งเป้าไปที่ครอบครัวหรือคนรักของสมาชิกเป็นหลัก

 

ล่าสุดถึงคราวเมียเก็บของโฆเซ่…เจ้าหล่อนถูกพบในสภาพสะบักสะบอม สลบอยู่บนลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า แม้จะไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่การถูกทำร้ายอย่างป่าเถื่อนไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนใด ไม่ว่าสถานะเมียหลวงหรือเมียน้อยก็ตาม โฆเซ่เดือดดาลกับเรื่องนี้มาก และพุ่งเป้าสงสัยทั้งหมดไปยังซองโตเน่…ตระกูลคู่อาฆาตที่ทำท่าจะเรืองอำนาจขึ้นมาอีกหน

 

ดวงตาสีดำมืดหม่นกว่าเดิมเพราะความกังวล วาสโก้รู้สึกตัวอีกทีเมื่อมือขาวยื่นมาแตะข้อมือของเขา

 

“เมื่อกี้นายถามอะไรนะ” เขายิ้มให้คนตัวเล็กที่ผมยุ่งเหยิง…ไม่มีความสง่างามตรงตามสเปคเขาเลย แต่กลับน่าเอ็นดูเหลือเกิน

 

“ผมถามว่าวันนี้คุณต้องไปไหนหรือเปล่าครับ” เนเว่ทวนอีกหน

 

“ไม่ได้ไป” ตอบพร้อมตัดแพนเค้กเข้าปาก แม้หน้าตาจะดูไม่ดี แต่รสชาติใช้ได้

 

“ผมก็ไม่ได้ไปไหนเหมือนกัน วันนี้ว่าจะออกไปตรวจบนภูเขาเสียหน่อย ไม่รู้ฤดูนี้จะมีใครมาทำลายแปลงปลูกอีกรึเปล่า” เป็นคนพูดเองนั่นแหล่ะที่ลงมือ

 

“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ทางตระกูลไม่มีเวลาจะมาสนฝิ่นแล้ว” วาสโก้บอก…อันที่จริงเขาแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมเนเว่ดูไม่ตกใจเลยที่รู้ว่าทางวอลเธอร์ค้าฝิ่นดิบ…แต่เด็กทุกคนที่เติบโตในเมืองสีเทาชื่อว่าเรเวน อาจจะชินชากับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเขา

 

“งั้น…วันนี้ทำอะไรดีล่ะ” บอกพลางหันไปมองหน้าต่าง “ตอนแรกผมกะจะเข้าเมืองไปซื้อของ แต่ท่าทางวันนี้ฝนจะตก ไว้ไปวันอื่นดีกว่า”

 

ถึงตรงนี้ วาสโก้ตัดสินใจได้ว่าควรจะเตือน “…เนเว่ ช่วงนี้มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้นรอบๆ สมาชิกตระกูล นายต้องระวังตัวด้วยล่ะ”

 

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูง “ผมไม่ได้เป็นสมาชิกเสียหน่อย”

 

“เป็นสิ” ดวงตาสีดำจ้องมองตรงมา “นายเป็นของฉัน”

 

นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก ผิวแก้มร้อนขึ้นมา

 

“ดังนั้น…” วาสโก้กุมมือขาวจัดเอาไว้ ดึงมาชิดริมฝีปาก “สัญญากับฉัน…ว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องไม่ชอบมาพากล…เข้าใจไหม”

 

แววสับสนปรากฎขึ้นในลูกแก้วสีฟ้า ก่อนจะถูกกลบไปอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ

 

“ครับ…” เนเว่สัญญา

 

แน่นอนว่า เขาโกหก

 

TBC

ลางร้ายเริ่มปรากฎ…วาสโก้ช่างมันค่ะ แต่เนเว่อย่าเป็นไรนะ   (;___;  #ความลำเอียงนี้

[Novel] Be[lie]ve. – 13&14

17-05-29-20-51-20-080_deco

 

ตอนก่อนก่อนก่อนก่อนก่อนก่อน

13.

 

 

 

ลมอบอ้าวและเต็มไปด้วยความชื้น คือสัญญาณบอกการมาถึงของฤดูร้อน

 

วาสโก้หรี่ตามองแสงแดดแรงจ้าทั้งที่ยังไม่พ้นเวลาเช้า มือใหญ่กลัดกระดุมเสื้อเชิ้ท รู้สึกอึดอัดจนไม่อยากสวมสูท แต่เพราะจำเป็นจึงจำใจ

 

“ร้อนแบบนี้ แย่เลยนะครับ”

 

เนเว่เดินมาหาที่ข้างหน้าต่าง ในมือมีเนคไทด์ซึ่งเจ้าของลืมหยิบออกมา

 

“ผูกให้หน่อยสิ” คนตัวใหญ่นั่งลงตรงขอบหน้าต่าง เหนี่ยวเอวอีกคนมากอดเอาไว้

 

“แบบดับเบิ้ลน็อตเนอะ” บอกพลางตวัดผืนผ้าหน้ากว้างสี่นิ้วคล้องคอใหญ่  เป็นขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมกับสูทสไตล์อิตาเลียนแท้ “ช่วงนี้คุณใส่สูทบ่อยจัง”

 

“…เจ้านายเรียกตัวก็ต้องไปน่ะ” ตอบโดยเลี่ยงไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่ต้องการดึงอีกฝ่ายมาเสี่ยงด้วย “ทำไม เบื่อฉันในชุดสูทแล้วเหรอ”

 

“ใครจะเบื่อ อาหารตาชั้นดี” เนเว่รูดปมเนคไทด์ให้เข้าที่ จัดปกเสื้ออีกเล็กน้อย “หล่อแล้วครับ”

 

“ขอบใจ” วาสโก้จูบหน้าผากคนตรงหน้า แล้วลุกขึ้นยืน สำรวจของพกติดตัว

 

มือขาวยื่นกุญแจรถยนต์ให้อย่างรู้ใจ ก่อนขออนุญาต “วันนี้ผมขอใช้มอเตอร์ไซด์นะครับ”

 

“จำเป็นต้องขอทุกครั้งเลยเหรอ” เจ้าของพาหนะหัวเราะเบาๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าอยากใช้ก็ใช้ได้เลย”

 

“กลัวโดนหาว่าข้ามหัวคนแก่ ไม่บอกไม่กล่าวก่อน” จบประโยคนั้นก็ต้องร้องโอ๊ยเพราะถูกฟาดก้น

 

“เด็กดี…” ตีเสร็จแล้วขยำต่ออีกเล็กน้อย “วันนี้จะไปไหน”

 

“ไปเยี่ยมพ่อครับ” เนเว่บอก มองสบตา “คราวนี้ไปจริงๆ ไม่ได้โกหก”

 

คำยืนยันนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง “โอเค…”

 

กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว…ตื่นมาบนเตียงเดียวกัน ส่งใครคนใดคนหนึ่งออกไปทำงาน ตกเย็นกลับบ้าน เพื่อจะเข้านอนร่วมเตียงอีกครั้ง

 

เนเว่มองส่งรถยนต์คันใหญ่อีกเช่นเคย…โดยไม่รู้ตัว เขาทำแบบนี้มาหลายเดือน…เวลาเป็นสิ่งน่ากลัว ไม่ทันไรก็อาศัยร่วมบ้านเดียวกันมาครึ่งปีแล้ว

 

ตอนที่ขึ้นมาบนภูเขานี้ครั้งแรก…เขารู้ว่านี่คือบ้านของใคร เพราะเขาดักข่าวได้ว่านายใหญ่และนายหญิงแห่งวอลเธอร์ อาจจะไปเยี่ยมลูกเขยที่นอกเมือง

 

เขาใช้โอกาสนั้นตั้งปืนไรเฟิลรอท่ามกลางสภาพอากาศอันโหดร้าย…และเกือบตายเพราะการคาดเดาอันผิดพลาด

 

บังเอิญถูกช่วยเอาไว้…ด้วยคนที่ไม่ควรเข้าใกล้…และฉวยโอกาสทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง เพื่อออกไปดักสังหารใครที่อาจจะเดินทางมา

 

ทว่า…เป้าหมายดูจะไม่เข้าระยะยิงโดยง่าย เขาต้องเป็นฝ่ายเดินหน้า แทนที่จะรอคอยจัดการในที่ลับตาแบบเก่า เส้นสายข่าวทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เหลือเพียงแค่รอเวลาเหมาะสม…

 

…ความกังวลหนึ่งเดียว คือผู้ชายที่เผลอกายเผลอใจให้…

 

ตระกูลวอลเธอร์ทำเรื่องเลวร้ายและกิจการเลวทรามหลายอย่าง หากวาสโก้ยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาเพียงแค่ถูกวางเป็นทายาทสืบต่อ แม้จะมีส่วนรู้เห็นมากมาย ตัวอย่างเช่นการปลูกฝิ่นในที่ดิน แต่ก็ยังไม่เคยลงมืออะไรร้ายแรงเช่นฆ่าคนหรือค้ายา…เท่าที่สืบมาได้

 

เนเว่ไม่รู้ว่าจะกันอีกฝ่ายออกไปให้พ้นวงจรนี้ได้มากแค่ไหน

 

และการจากลาคงจะยากทำใจเช่นกัน…

 

———

 

เพราะอาการของชาร์ลส์ที่ทรุดลงไวกว่าคาด ทำให้วันเข้าโรงพยาบาลต้องเลื่อนขึ้นมาอย่างฉุกละหุก ข้อเสียคือก่อความวุ่นวายให้คนในคฤหาสน์กับภารกิจส่งตัวนายใหญ่ แต่ข้อดีคือศัตรูภายนอกไม่มีเวลาตั้งหลักโจมตีได้ทัน

 

ในบรรดาผู้รับใช้ทั้งหมดนั้น วาสโก้ผูกพันกับ ‘อากาธา’มากสุด เธอเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่คอยช่วยแม่เลี้ยงดูเขามา อากาธาเป็นหญิงร่างกลมอวบ ผมยังดำสนิทแม้อายุมากแล้ว ผิวเหลืองเหมือนขนมมัฟฟินอบใหม่ รอบตัวให้บรรยากาศสดใสเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะทำงานให้ตระกูลทรงอิทธิพลด้านมืด

 

วาสโก้ช่วยเธอหอบหิ้วของใช้จำเป็นของชาร์ลส์ เสื้อผ้าไม่จำเป็นเพราะต้องใส่ชุดคนป่วย แต่นายใหญ่ต้องการให้ที่พักทุกแห่งไม่ต่างจากบ้าน ของอื่นยังพอใช้คนทั่วไปยกได้ แต่สมบัติส่วนตัวที่มีมูลค่า ชาร์ลส์ไว้ใจแค่เพียงอากาธาและวาสโก้

 

หลังส่งตู้เซฟเข้าห้องเสร็จ สองคนต่างวัยจึงได้หยุดพักเสียที

 

“เอกสารสำคัญทางการเงินเนี่ย ฉันเข้าใจนะว่าต้องติดตัวมาเผื่อเลือกใช้” แม่บ้านร่างกลมบ่นขณะปาดเหงื่อ “แต่ทองแท่งเนี่ยสิ ไม่รู้จะเอามาทำไม ทำอย่างกับจะมีใครมางัดตู้เซฟที่คฤหาสน์”

 

วาสโก้พอจะรู้นิสัยอดีตพ่อตา จึงสามารถให้เหตุผลได้ “เป็นความยึดติดอย่างหนึ่งของนายท่านน่ะครับ เขาฝังใจกับการครอบครองทองแท่ง หวาดระแวงถ้าไม่ได้เก็บอยู่ใกล้ตัว”

 

“แหม…ไม่ได้เกิดในยุคตื่นทองเสียหน่อย” อากาธาส่ายหน้า เธอกับเจ้านายมีอายุไม่ห่างกันนัก ถือว่าร่วมรุ่นกันมา “แล้วนี่ ต้องไปที่ไหนต่ออีกรึเปล่าลูก”

 

คนถูกเรียกว่า ‘ลูก’ ยิ้มให้หญิงสูงวัย เธอเป็นดั่งแม่คนที่สองของเขา “ตอนแรกนายหญิงอยากให้ผมตามไปดูโรงงานด้วยกัน แต่ทางคฤหาสน์โทรแจ้งว่าโรซาเลียกลับมาอีกหน…”

 

“โธ่ คุณหนู!” แม่บ้านอุทาน เพราะรู้ดีถึงพิษสงของหญิงสาวหัวขบถ “ท่านเฮนเรียตต้าเลยต้องรีบกลับไปสินะ เอ…หรือว่าที่นายท่านเอาทองมาเก็บไว้ข้างเตียง คงเพราะกลัวคุณหนู”

 

“ฮ่ะๆ…ไม่รู้สิครับ” วาสโก้ถอนหายใจ ยังจำอดีตตอนที่โรซาเลียหนีออกไปกับคนรักได้ เธอกวาดเครื่องเพชรมูลค่านับสิบล้านไปด้วย…

 

“แสดงว่าช่วงบ่ายว่างสินะ ป้าก็อยากจะชวนไปกินมื้อเย็นด้วยกัน แต่คุณหนูกลับมาแบบนี้ รีบกลับไปช่วยรับมือดีกว่า” มืออวบบีบไหล่ของคนที่เป็นดั่งลูกชาย “แต่ต่อไปเราจะได้พบกันบ่อยขึ้นสินะลูกเอ้ย”

 

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” ชายหนุ่มก้มลงไปหอมแก้มเธอ “ผมไปก่อนนะ”

 

อากาธาเหนี่ยวคอแล้วหอมแก้มซ้ายขวารัวๆ ราวกับว่าคนตรงหน้ายังเป็นเด็กชายตัวน้อย วาสโก้หัวเราะแล้วกอดเธอเต็มอ้อมแขน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็พบใครบางคนยืนมองอยู่

 

“เนเว่”

 

เจ้าของชื่อทำตาโต ไม่ได้มีความหึงหวง(แหงล่ะ) แต่ประหลาดใจกับบรรยากาศอบอุ่นตรงหน้า

 

วาสโก้ผละจากอากาธาไปหาหนุ่มน้อย “มาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

 

เนเว่ส่งยิ้มให้แม่บ้าน กำลังจะอ้าปากตอบ ทว่าถูกเสียงอากาธาแทรกเสียก่อน

 

“คุณพระ…วาสโก้ เธอแอบไปมีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”

 

ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสูงวัยจนคอแทบหัก จังหวะเดียวกับที่เนเว่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่ไหว

 

“พอแล้ว…หยุดได้แล้ว” มือใหญ่บีบศีรษะเล็ก

 

“ขอโทษครับ ฮ่ะๆๆๆ โอยยย เล็กบีบได้แล้ว” บอกพลางเช็ดน้ำตา ตั้งสติแล้วเริ่มแนะนำตัวกับคนเพิ่งรู้จัก “ผมชื่อเนเว่ครับ เป็น…เอ่อ…ลูกจ้างของคุณวาสโก้”

 

อากาธายกมือทาบอก “ตายแล้ว…ฉันขอโทษนะจ้ะ เพราะอายุห่างกันเลยเข้าใจผิด”

 

“อันที่จริง” วาสโก้สูดลมหายใจ…เขาไม่อยากปิดบังคนที่ตนเองมองเหมือนแม่ “เขาไม่ใช่ลูกจ้างของผมหรอก…เป็นคนที่อยู่กินด้วยตอนนี้

 

เป็นคราวเนเว่หันจนคอแทบหัก เมื่อครู่เขาอุตส่าห์โกหกให้เพราะกลัวจะลำบากใจ กลายเป็นอีกฝ่ายเปิดเผยเอง แถมยังใช้คำลงหลักปักฐาน…หัวใจในอกจึงเต้นถี่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

อากาธาทำตาโตบ้าง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง  “โอ้โห…กินเด็ก”

 

มือที่วางอยู่บนศีรษะเลื่อนลงมาโอบบ่าเล็ก

 

“ฉันอ่านสีหน้าเธอได้พ่อหนุ่มน้อย” แม่บ้านมองด้วยสายตาอ่อนโยน “เธอกำลังแปลกใจว่าทำไมฉันไม่รังเกียจ…ถ้าเธอเคยมีประสบการณ์แบบฉัน เลี้ยงคุณหนูคนหนึ่งมากับมือ แล้วอยู่ดีๆ เธอก็ชอบเพศเดียวกันทั้งที่ไม่เคยมีวี่แววมาก่อน หลังจากนั้นเธอเจออะไรก็จะไม่แปลกใจแล้วล่ะ”

 

เนเว่กะพริบตา ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนออกมา “ขอบคุณนะครับ…”

 

“เขาน่ารักมากนะ” อากาธาขยิบตาให้วาสโก้ และหันหลังเดินตรงไปยังทางออกจากโรงพยาบาล “พาเขามาทานมื้อค่ำกับฉันบ้างนะเจ้าลูกชาย”

 

สองคนมองอากาธาจนลับตา บรรยากาศทำตัวไม่ถูกแต่อบอุ่นวนเวียนอยู่รอบๆ วาสโก้กระแอมในลำคอ และเป็นฝ่ายพูดก่อน

 

“เธอชื่ออากาธา เป็นแม่บ้านประจำตระกูล แล้วก็เป็นเหมือนแม่ของฉันด้วย” มือใหญ่บีบไหล่เล็กและถามต่อ “ว่าแต่ นายมาทำอะไรที่นี่”

 

“ผมมาเยี่ยมพ่อ” เนเว่เงยหน้าขึ้นมอง “อ๊ะ ผมลืมบอกไปสินะครับ พ่อของผมมีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ต้องเข้ามารักษาและทำกายภาพบำบัดเป็นระยะ”

 

“อย่างนั้นเหรอ…” ชายหนุ่มพยักหน้า “แล้วนี่เพิ่งมาหรือกำลังจะกลับ”

 

“เพิ่งมาครับ” บอกเสร็จแล้วจึงนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะถามต่อด้วยเสียงแผ่วลง “…คุณอยากจะพบพ่อของผมบ้างไหม”

 

วาสโก้ตอบไม่ถูก แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งแนะนำเด็กคนนี้กับอากาธาผู้เป็นเหมือนแม่ การที่เนเว่จะชวนเขาบ้างจึงไม่แปลกนัก

 

บอกตามตรงว่าเขายังไม่พร้อม แต่จะตอบหักหาญนัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาอย่างมีความหวังคงจะทำไม่ได้

 

เมื่อคนตัวใหญ่พยักหน้า เนเว่จึงยิ้มออก เขาเดินนำไปยังลิฟต์ในอาการ กดชั้นที่เป็นห้องพักของพ่อ

 

……

 

 

ในเวลาไม่นานนัก วาสโก้พบว่าตนเองกำลังยืนประหม่าอยู่ต่อหน้าชายสูงวัยสองคน คนหนึ่งเอนหลังอยู่บนเตียง อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้กัน

 

“พ่อครับ นี่วาสโก้ อินาร์ริตู” เนเว่ยิ้มกว้างขณะแนะนำคนมาด้วย “นี่พ่อของผมกับอังเดรครับ”

 

“คริสเตียโน่ ลีโอ เรโก้” ดวงตาสีฟ้าคมกริบมองมาขณะแนะนำตัว ผมยังคงเข้มดำ หากหนวดเคราเริ่มหงอกขาว รูปร่างกำยำเสียจนถ้าไม่เห็นผ้าพันแผลพาดอยู่จากไหล่ลงไปยังสีข้างด้านขวา คงไม่นึกว่านี่จะเป็นผู้บาดเจ็บ

 

นี่เหรอคนอายุห้าสิบห้าปี ถ้าให้ลุกมาสู้ วาสโก้ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเอาชนะได้

 

“ยินดีที่รู้จักนะวาสโก้ ฉันชื่ออังเดร” เสียงนุ่มนวลแนะนำตัวต่อจากคนไข้…อังเดรอายุหกสิบปีแล้ว แต่รูปร่างยังเพรียวลม แผ่นหลังตั้งตรงสง่า เส้นผมทั้งศีรษะออกเทาให้สีคล้ายคลึงกับนัยน์ตาคู่สวย…ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าไม่อาจทำลายความงามสะกดใจนั้นได้

 

วาสโก้อึ้งไป…ไม่นึกว่านอกจากเฮนเรียตต้าแล้ว เขาจะสามารถชมใครที่กำลังย่างเข้าสู่วัยชราว่า ‘สวย’ ได้อย่างเต็มปากอีก…แต่อังเดรเป็นเช่นนั้น เป็นชายผู้งดงามเหมือนกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยจากต้นจนพร่างพราวตา

 

เนเว่ใช้ศอกสะกิด เมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่มองอังเดรนานเกินควร

 

“สวัสดีครับ…” ชายหนุ่มทักทายผู้สูงวัยกว่าทั้งสอง

 

เพราะเห็นแววประหม่าของคนข้างตัว เนเว่เลยเลือกที่จะแนะนำความสัมพันธ์ไม่ลึกซึ้งนัก “วาสโก้คือเจ้าของบ้านที่ผมอาศัยอยู่ด้วยตอนนี้ครับ”

 

แต่อังเดรกลับหัวเราะแผ่วเบา “เนเว่…เป็นอะไรกับเขาก็บอกให้ชัดเถอะ”

 

“หา! หมายความว่ายังไง” คริสเตียโนเลิกคิ้วใส่คนนั่งข้างเตียง

 

เนเว่รู้สึกร้อนผ่าวบนผิวแก้มขณะปั้นหน้ายาก…พ่ออาจจะดูไม่ออก แต่เขาปิดบังสายตาของอังเดรไม่ได้เลย นี่ขนาดพามาแนะนำไม่ถึงสิบนาที

 

ว้าวุ่นอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะใช้คำเดียวกับที่วาสโก้เคยแนะนำเขากับอากาธา  “ผมคบอยู่กับวาสโก้ครับ…”

 

แต่คราวนี้ไม่มีมือใหญ่ยื่นมาโอบบ่า เพราะวาสโก้ยืนตัวแข็งไปแล้ว

 

ไม่ให้กลัวได้ไง ในเมื่อมีสายตาดุดันราวกับสิงโตของคริสเตียโน่จ้องเขม็ง

 

“ไม่ต้องเกร็งหรอกวาสโก้” อังเดรหัวเราะ ยื่นมือไปทุบแผลกลางอกของคนบนเตียง เรียกเสียงคำรามเบาๆ อย่างเจ็บปวด “ฉันกับเขา ก็เป็นเหมือนพวกเธอ”

 

คนฟังทำหน้างง คนตัวเล็กข้างๆ ทำปากขมุบขมิบว่า ‘คนรัก’

 

ที่แท้คนรักของพ่อที่เนเว่เคยเล่าเอาไว้ คืออังเดรนั่นเอง

 

“ฉันกับอังเดร พวกเราเป็น ‘คู่ชีวิต’กัน” คริสเตียโน่บอกเสียงมั่นคง หลังฟื้นตัวจากการถูกทุบแผล… เขาหันไปมองลูกชายผู้มีดวงตาสีฟ้าคล้ายคลึงแม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน “แล้วพวกลูกล่ะ…เป็นแบบไหน”

 

วาสโก้เหลือบมองหนุ่มน้อย…แม้ปกติจะช่างเจรจาแค่ไหน แต่พออยู่ต่อหน้าพ่อแล้ว ถึงกับไปไม่เป็น

 

แต่ในที่สุดก็เอ่ยออกมาได้  “พวกเราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน…เวลาแค่ครึ่งปี ผมบอกไม่ได้หรอกครับว่าสถานะสุดท้ายจะเรียกว่าอะไร”

 

เหมือนอ่านใจเขาออกมาพูด วาสโก้เห็นด้วยทุกประการ…และชื่นชมความกล้าหาญของอีกฝ่าย…มันสั่นคลอนหัวใจเขาไปด้วย

 

มือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กเอาไว้ “…ตามที่เขาบอก ผมสัญญาไม่ได้ว่าจะไม่เผลอทำร้ายจิตใจ ชีวิตคู่ล้วนต้องมีการขัดแย้งกันบ้าง…แต่สิ่งที่ผมพอจะให้สัญญาได้ คือจะไม่มีวันทำร้ายเขาด้วยมือคู่นี้”

 

‘อีกแล้ว’ เนเว่แอบต่ออยู่ในใจ เขายังเคืองเรื่องในอดีตอยู่นิดหน่อย…แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับคำสัญญาเหลือเกิน…

 

คริสเตียโน่มีสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ แต่ไม่ใช่การต่อต้าน เป็นเพียงอารมณ์ของพ่อที่ไม่อยากให้ลูกมีแฟน เพราะในสายตาของเขา เนเว่เป็นเด็กน้อยตลอดกาล อังเดรกลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่กับปฏิกริยานั้น

 

“เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณสำหรับคำสัญญานะวาสโก้” คนงามสูงวัยยิ้มบาง “ฉันคาดหวังว่าเธอจะดูแลเด็กคนนี้ได้ดี”

 

ครั้งแรกที่เข้าห้อง วาสโก้บอกตัวเองว่าหวั่นเกรงคริสเตียโน่…แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ เขาเย็นวาบไปทั้งสันหลังเพราะอังเดรแทนแล้ว

 

เมื่อเห็นคนตัวใหญ่ไม่ตอบ เนเว่จึงออกรับแทน “ขอบคุณที่ยอมรับพวกเราครับ”

 

หลังจากนั้น บรรยากาศจึงค่อยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ต่างถามไถ่อาการของคนบาดเจ็บ…แผลของคริสเตียโน่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตแล้ว เพียงแต่ต้องมาทำศัลยกรรมและกายภาพบำบัดเพิ่มเติมเพื่อให้กล้ามเนื้อขยับได้ไม่ติดขัด อังเดรเอ่ยชวนให้ทั้งคู่อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เนเว่ปฏิเสธเพราะเตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นเอาไว้แล้วที่บ้าน

 

สองพ่อลูกกอดกันเมื่อหมดเวลาให้คนภายนอกเยี่ยม เนเว่หอมแก้มอังเดรแทนคำลา ครอบครัวเล็กๆ แยกจากกัน

 

โดยวาสโก้รู้สึกราวกับตัวเองเป็นต้นเหตุนั้น เป็นคนร้ายพรากผู้เยาว์อย่างไรชอบกล…

 

 

TBC

 

14.

 

 

 

 

รถ 4WD คันโตเข้าเมืองมาตั้งแต่เช้า จุดหมายคือโรงแรมระดับสี่ดาว

 

“หลังๆ เศรษฐกิจไม่ดี นักธุรกิจต่างเมืองมาใช้บริการน้อยลง ที่นี่เลยเปิดให้คนภายนอกเข้าไปซื้อบุฟเฟต์อาหารเช้าได้” วาสโก้บอกขณะถอยรถเข้าช่องจอด ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วจัดชุดสูทของตัวเองให้เข้าที่

 

“แล้ว…ราคาไม่แพงเหรอครับ” เนเว่ถามอย่างกังวล มองตึกสูงลิ่วจนบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า

 

“ถ้าฉันจ่ายไม่ไหวจะกล้าพานายมาได้ยังไง” มือใหญ่เอื้อมไปจะขยี้ศีรษะเล็กตามความเคยชิน แต่ชะงักทันก่อน “…เกือบไปแล้ว วันนี้อุตส่าห์แต่งผมนี่นา”

 

“ขยี้หัวตอนนี้ โกรธเลยนะครับ” บอกพลางเสยผมตนเอง ปกติเขาไม่ค่อยได้จัดทรงแบบนี้เท่าไหร่ แต่เพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะพามาทานอาหารในโรงแรม จึงต้องเสริมหล่อเล็กน้อย

 

มือที่จะแตะผมจึงเบนไปเชยคางเล็กขึ้นแทน “…ดูดีแล้ว”

 

เนเว่ยิ้มบางแล้วชะโงกหน้าไปจูบปลายคางสาก วาสโก้ก้มลงมาชิงจูบริมฝีปากแทน พวกเขาหัวเราะให้กันก่อนจะลงจากรถ

 

…ในทางเดินทอดยาวของโรงแรมนั้น มือเล็กเคลื่อนมาจับชายเสื้อสูทคนเดินนำ วาสโก้ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง แล้วดึงมือนั้นมากุมไว้…จูงมือกันในที่ลับตา

 

เขารู้สึกว่า ตั้งแต่ที่ได้บอกความสัมพันธ์กับคนที่เป็นเสมือนครอบครัวไปทั้งสองฝ่าย ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเป็นดั่งเวลาฮันนีมูน…ถึงแม้ว่าเขาจะมีเวลาอยู่ด้วยน้อยลงเพราะต้องเข้าไปยังตระกูลวอลเธอร์บ่อยขึ้น

 

พวกเขาปล่อยมือจากกันเมื่อถึงหน้าภัตตาคาร บริกรนำทางไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง ยื่นเมนูให้ แม้จะเป็นบุฟเฟต์ แต่ผู้ใช้บริการไม่ต้องเหนื่อยเดินไปตัก เพียงแค่สั่งมาและรอรับประทานได้อย่างไม่อั้นที่โต๊ะ วาสโก้เลือกชุดอาหารเช้าพร้อมกาแฟดำ ในขณะที่เนเว่เลือกชุดที่มีซีเรียลและผลไม้เป็นหลัก

 

สองคนนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง เสียงทักทายก็ดังขึ้นหน้าโต๊ะอาหาร

 

“ไง…” ผู้มาใหม่นั้นเป็นชายร่างสูง ใบหน้าค่อนข้างยาว สวมสูทหรูสีเขียวจัดจ้าน ข้างกายเขามีสาวสวยอกใหญ่ที่แต่งชุดเดรสสีเข้ากันควงแขนอยู่  “ไม่ได้เจอกันนานนะลูกพี่”

 

วาสโก้หันไปมอง ทำหน้าประหลาดใจแต่ไม่มีความยินดีเจือปนในสายตา “ไง ไม่ได้เจอกันนานเหมือนกันนะ เดวิด”

 

เดวิดเป็นหนึ่งในคนที่ทำงานให้กับตระกูลวอลเธอร์ หลักๆ คือคอยควบคุม ‘ผู้หญิง’ ในสังกัด ข้างกายเขาจึงมีสาวงามไม่ขาด และเจ้าตัวภูมิใจในฐานะที่ได้ ‘ทดลอง’ ใช้ก่อนใครอื่น…

 

“เมื่อคืนผมพักที่นี่ เช้าเลยแวะลงมากินบุฟเฟต์เสียหน่อย พอกินเสร็จกำลังจะออกไปถึงได้เห็นลูกพี่นั่งอยู่กับ…”  ดวงตาที่มองไปยังอีกคนนั้น แฝงแววดูถูก “ใครเหรอ…”

 

เนเว่จะอ้าปากตอบตามมารยาท แต่วาสโก้ยกมือห้ามไว้เสียก่อน

 

“นายไม่จำเป็นต้องรู้…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ เป็นเชิงบอกว่า ‘อย่ายุ่งเรื่องของชาวบ้าน’

 

นั่นทำให้เดวิดหัวเราะลั่น “ฮ่ะ ๆ ๆ ไม่นึกว่าลูกเขยแห่งตระกูลวอลเธอร์จะมีรสนิยมแบบนี้”

 

ความชาแล่นขึ้นไปตามผิวหน้า…

 

“นี่เรียกว่าอาการติดต่อกันรึเปล่าครับ เพราะภรรยาคุณชอบผู้หญิง คุณเลยหันไปชอบผู้ชายบ้าง”

 

คำพูดของเดวิดจบลง เมื่อวาสโก้ลุกขึ้นเผชิญหน้า…ดวงตาสีดำเขม่นมอง ประกอบกับร่างสูงใหญ่นั้น สร้างแรงกดกันมหาศาล เดวิดกลืนน้ำลาย…จากเดิมที่ตั้งใจจะทับถมให้อีกฝ่ายเสียหน้า กลายเป็นตัวเองต้องหน้าเสียแทน

 

“แหม…ผมแค่หยอกเล่นน่ะลูกพี่” บอกพลางรวมปกเสื้อสูทสีเขียว กลัวว่าจะถูกกระชากขึ้นไปต่อย “ฝากทักทายนายใหญ่ด้วยครับ ผมขอตัวก่อนล่ะ”

 

วาสโก้ไม่ตอบรับหรือบอกลา เพียงแค่มองอีกฝ่ายลากผู้หญิงที่ควงมาจนขาเป๋ รีบเดินออกจากภัตตาคารไป

 

เขานั่งลงอีกครั้ง…ความหงุดหงิดก่อตัวดั่งเมฆดำ

 

เนเว่ยิ้มให้…แต่เป็นยิ้มที่หมองเศร้า…ยิ้มที่เอาไว้ใช้กับเรื่องแย่ๆ

 

“ผมขอโทษนะครับ” นัยน์ตาสีฟ้าหม่นแสง “ทำให้คุณถูกมองอย่างดูแคลน”

 

“หมอนั่นมันดูถูกทุกคนนั่นแหล่ะ” เขาปลอบไปแบบส่งๆ

 

“ผมรู้ดี ว่าที่คนรอบตัวเราเข้าใจ ก็เพราะว่าเขารักและพร้อมจะยอมรับทุกอย่าง ส่วนคนรอบข้าง…คงแก้ไขอะไรไม่ได้” มือเล็กจะยื่นมาสัมผัสมือใหญ่ แต่ชะงักไป “เอาเป็นว่า…ผมจะระวังตัว ไม่ให้คนนอกรู้ความสัมพันธ์ของพวกเรานะครับ”

 

วาสโก้บอกไม่ถูก…ว่าความรู้สึกในอกตอนนี้คือโล่งใจ หรือ ใจหาย

 

แต่เขาเลือกที่จะคิดว่าเส้นทางหลบเลี่ยงนี้ ปลอดภัยมากกว่าเผชิญกับสายตาของสังคมภายนอก

 

“กินกันต่อเถอะ” ชายหนุ่มยิ้ม ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “วันนี้ฉันต้องติดตามท่านเฮนเรียตต้าไปดูโรงงาน อาจจะจอดรถทิ้งไว้ที่นี่ คงเลิกช่วงเย็น”

 

ในมุมที่มองไม่เห็นนั้น เนเว่ตาวาว…  “ผมจะไปเยี่ยมพ่อ แล้วทำธุระเรื่องเรียนต่อสักหน่อย คงเสร็จช่วงเย็นเหมือนกันครับ…ผมรอกลับบ้านพร้อมกับคุณได้ไหม จะไปรอตรงเนินหน้าเรเวนมาร์ทก่อนออกถนนระหว่างเมือง เวลาคุณขับรถมาจะได้เห็นผม”

 

“ตกลง” วาสโก้พยักหน้ารับ…แต่ในใจนั้นเลื่อนลอยไปไกล เพราะเมื่อนึกถึงนายหญิงแล้ว เขากังวลขึ้นมา…

 

เธอจะทำยังไง ถ้ารู้ว่าเขาซุกซ่อนเด็กคนนี้อยู่

 

เมฆดำครึ้มลึกอยู่ในใจ ไม่ต่างอะไรกับฝนปลายฤดูร้อนที่พร้อมจะโปรยปรายลงมาตลอดเวลา

 

———

 

 

แม้ ชาร์ลส์ วอลเธอร์ จะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแถวหน้าของเรเวน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการทำธุรกิจ อาจจะกล่าวได้ว่าแม้ไม่มีอิทธิพลที่สืบต่อกันมาตามสายเลือด ชายคนนี้ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยกำลังสมอง เขาบุกเบิกธุรกิจมากมายในภูมิภาคนี้ ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ พัฒนาที่ดินและกิจการแทบทุกแขนง เพียงแค่ในยุคที่ชาร์ลส์เป็นผู้นำ ตระกูลวอลเธอร์ก็ร่ำรวยขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า

 

ส่วนสิ่งที่เขาไม่ถนัดนั้น คือความเป็นเจ้าพ่อ…อันเป็นคำนำหน้าเรียกขานตัวเขานั่นแหล่ะ ตั้งแต่ยังหนุ่ม ชาร์ลส์ใช้อิทธิพลมืดเพื่อแค่เป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับธุรกิจ นอกนั้นเขาแทบไม่แตะต้อง…กิจการใต้ดินของตระกูลไม่เร้าใจเขาได้เท่ากับเกมการเมืองในที่สว่าง เขาจึงละเลย มองผ่าน ทั้งการค้าฝิ่น ค้ามนุษย์ หรือค้าความตาย

 

แล้วทำไมกิจการบาปเหล่านั้นยังคงอยู่ในสายพานของตระกูลวอลเธอร์

 

คำตอบคือ มันถูกชักใยอยู่ในมือของเฮนเรียตต้า…

 

 

……

 

ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กชาย วาสโก้คอยจ้องมองแผ่นหลังเพรียวบางที่เดินนำหน้าเขาเสมอ ผมบลอนด์ทองดกหนาที่สะบัดพลิ้วตามการเคลื่อนกายนั้น เป็นดั่งมนต์ขลังสะกดให้ผู้ตามทุกคนไม่อาจละสายตา

 

ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ สาวหรือโรยรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าข้างถนนหรือเจ้าของธุรกิจใหญ่บนตึกระฟ้า ต่างก้มหัวให้เฮนเรียตต้า…เจ้าแม่ผู้กุมอำนาจมืดตัวจริงของเมืองเรเวน

 

วันนี้วาสโก้ติดตามเธอมายังบริษัทของลูกหนี้แห่งหนึ่ง เนื่องจากเจ้าของไม่สามารถส่งดอกเบี้ยเงินกู้ได้ตามอัตราใหม่…เขาวิงวอนจนแทบก้มลงแทบเท้าเธอ หากคำตอบยังเป็นเช่นเคย…ส่งให้ได้ หรือไม่ก็ขายกิจการให้เธอเสีย

 

 

พวกเขากลับออกมาจากบริษัทนั้น พร้อมโฉนดที่ดินมูลค่ามากกว่าทั้งต้นและดอกเป็นหลักประกัน

 

“คนเราสมัยนี้…ชอบทำอะไรเกินตัวนะ”  ดวงตาสีเทาคู่งามหันกลับมามองผู้ติดตาม “เธอคิดว่าบริษัทนี้จะดำเนินกิจการต่อไปได้นานแค่ไหน”

 

วาสโก้นิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบด้วยเสียงสุภาพ “ดูจากหนี้สินคงเหลือแล้ว…ถ้ายังเก็บดอกเบี้ยด้วยอัตราใหม่ต่อไป…คงอยู่ได้ไม่เกินปีหรอกครับ”

 

“แล้วเธอคิดว่ายังไง” เฮนเรียตต้าถามพลางอ่านอะไรบางอย่างในสมาร์ทโฟน สายตาที่เริ่มยาวแล้วทำให้เธอต้องยื่นแขนเพรียวออกห่างจากตัว

 

คนถูกถามคิดในใจ…ถ้าลดดอกเบี้ยให้ บริษัทนี้ย่อมไปต่อไหว…แต่เขาคิดว่า ‘เธอ’ ไม่ได้มีเมตตาขนาดนั้น เพราะสิ่งที่หมายตา เธอได้มันมาแล้วอย่างหนึ่ง…โฉนดที่ดินนั่นคงไม่มีวันได้ไถ่ถอน…และรอแค่เพียงเวลาอีกปีเธอจะได้สิ่งต้องการอย่างที่สอง…ที่ตั้งบริษัทแห่งนี้

 

“เป็นแบบนี้ดีแล้ว…เจ้าของไม่มีกำลังจะจัดการปัญหา เปิดต่อไปก็ไร้ค่า” วาสโก้เอ่ยด้วรอยยิ้มเอาใจ “สู้ให้ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ ส่งต่อไปสู่มือผู้ที่คู่ควรจะดีกว่า”

 

คำตอบนั้น เรียกรอยยิ้มงดงามได้จากหญิงสูงวัย “เธอรู้ใจฉันเสมอ…”

 

อดีตลูกเขยหลับตาลงเมื่อข้างแก้มถูกมือเรียวสัมผัส กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมหรูหรากล่อมให้เขารู้สึกราวกับได้รับความโปรดปรานจากเทพี

 

“จะว่าไป” เฮนเรียตต้าลดมือลง เดินนำต่อไปยังรถยนต์ที่คนขับเปิดประตูรอ “เดวิดเจอเธอเมื่อเช้า…เขาส่งข่าวแปลกๆ มาบอกฉันว่าเธอ…สนใจผู้ชาย”

 

อาการหน้าชากลับมาอีกครั้ง วาสโก้สูดลมหายใจก่อนตอบ “เขาเข้าใจผิดครับ คนที่เห็นนั่นผมแค่ทำการค้าด้วย”

 

“การค้าอะไร” ใบหน้างามแสดงความประหลาดใจ “…ฉันให้เงินเดือนเธอไม่พอเหรอ มีอะไรทำไมไม่บอกกัน”

 

“แค่ค้าขายซากกวางเป็นงานอดิเรกครับ…ผมไม่ได้ขัดสนอะไร” เมื่อผูกเรื่องเนเว่ผสมเข้าไป จึงโกหกได้คล่องปาก

 

“อย่างนี้นี่เอง” เฮนเรียตต้าแสร้งถอนใจ รอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง “ดีแล้ว…ฉันน่ะ รับไม่ค่อยได้เลยกับ…พวกรักเพศเดียวกัน”

 

วาสโก้พอจะรู้สาเหตุ…คงหนีไม่พ้นความผิดหวังในตัวโรซาเลีย

 

“ดีแล้วที่เธอยังเป็นชายแท้” เทพีสูงวัยหัวเราะอย่างมีจริต ก่อนจะผายมือไปยังรถยนต์อีกคันที่แล่นมาจอดต่อท้าย “ไม่งั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงกับรางวัลที่เตรียมมา”

 

ผู้ได้รับรางวัลมองตามมือ…หญิงสาวหุ่นบาดใจสองนางย่างเยื้องลงมาจากรถ การแต่งตัวนั้นหวือหวา อวดสินค้าอย่างภาคภูมิใจ เธอทั้งคู่เดินเข้ามาขนาบข้างวาสโก้ ลูบไล้ท่อนแขนกำยำอย่างยั่วยวนทั้งที่เพิ่งเคยพบหน้า

 

“ช่วยงานฉัน เธอคงไม่ค่อยมีเวลาได้ผ่อนคลาย” เฮนเรียตต้ายิ้มพราว และกำชับกับคนในสังกัด “ดูแลเขาให้ดี”

 

หญิงบริการสองคนค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม จนเจ้าแม่ก้าวขึ้นรถและประตูปิดลง จึงหันมาออดอ้อนชายหนุ่มต่อ

 

วาสโก้รู้สึกราวกับได้ดอกไม้เต็มสองแขน…คงเพราะห่างร้างจากทรวดทรวงโค้งเว้าไปนาน จึงรู้สึกคอแห้งอยากชิมน้ำหวานจากเกสร

 

ขาแกร่งก้าวตามนวลนางที่เชิญชวน ขึ้นไปบนรถที่จอดรอ…และเริ่มคลอเคลียกันตั้งแต่ล้อรถยังไม่ทันหมุน

 

———

 

 

บนยอดตึกสูงตรงข้ามบริษัทที่เพิ่งสูญเสียโฉนดที่ดินไปนั้น เนเว่ซุ่มมองอยู่…

 

เขาแอบตามวาสโก้มาตั้งแต่แรกเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องมาทำงานกับเฮนเรียตต้า…ศึกษาพฤติกรรมและการเดินทางของเธอเผื่อใช้ในอนาคต

 

ดังนั้น…จึงเห็นตั้งแต่เริ่มจนจบงาน…รวมทั้งตอนที่เธอมอบรางวัลให้…

 

ตลอดหลายเดือนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา ทำให้เนเว่เชื่อใจ…

 

เขาลงจากตึกที่ซุ่มอยู่ มองเวลาจากสมาร์ทโฟน…ใกล้เวลาเย็นแล้ว

 

เขาเดินอ้อยอิ่งมาถึงหน้าเรเวนมาร์ท…จุดที่สัญญาว่าจะนั่งคอยให้อีกฝ่ายมารับ แล้วกลับบ้านพร้อมกัน…หันหน้าเข้าไปทางเมือง เพื่อจะได้เห็นชัดหากรถคันโตผ่านมา

 

…ตะวันตกดินแล้ว…

 

…แสงจันทร์เริ่มปรากฎที่ขอบฟ้า…

 

…ดาวเริ่มพราวพร่าง เหมือนนางฟ้ากำลังโปรยน้ำตา…

 

เนเว่นั่งรอสัญญา…ที่พังทลายไปตามกาลเวลาหมุนผ่าน…

 

TBC

  • อังเดรรรรร อังเดรรรรของเก๊าาาาาา /ความลำเอียงนี้…
  • ลับมีดยื่นให้ท่านผู้อ่านไปแทงวาสโก้คนละฉึก….

[Novel] Be[lie]ve. – 11&12

17-05-27-21-55-12-259_deco

 

ตอนเก๊าเก่า

ส่วนตอนนี้ระวังหลังหน่อยก็ดี

11.

 

เนเว่กลับมาถึงบ้านไม้ซุงประมาณสามทุ่มกว่า ดวงไฟด้านในยังคงสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังไม่หลับ เขานำมอเตอร์ไซด์เก็บเข้าโรงจอด แล้วเดินเข้าบ้านทางประตูด้านหลัง

 

วาสโก้นั่งอยู่บนโซฟา ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่เพื่อสังเกตอีกคน…อีกฝ่ายสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มตัวเดิม คงจะแวะเปลี่ยนชุด

 

ทว่า คนที่ทักเรื่องเสื้อผ้าก่อนกลับเป็นเนเว่ “เปลี่ยนเสื้อไปข้างนอกมาเหรอครับ”

 

“ใช่…” ตอบพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง กวักมือเรียกให้มานั่งข้างๆ

 

ผู้อาศัยไม่ได้เอะใจ จึงเดินไปหาอย่างว่าง่าย หยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง วางลงบนโต๊ะกลางก่อนจะนั่งลง “ขอบคุณมากนะครับที่ให้ยืมรถ”

 

“เป็นยังไงบ้าง” วาสโก้เอ่ยด้วยเสียงปกติธรรมดา “พ่อนายสบายดีไหม”

 

คำตอบนั้นมาอย่างคล่องปาก “เรื่อยๆ ครับ อายุมากแล้วก็มีเจ็บโน่นปวดนี่บ้าง แต่มีคนดูแลเลยวางใจ”

 

“หืม…พ่อแม่รักกันดีสินะ” แขนใหญ่ยกขึ้นโอบบ่าเล็ก…เตรียมกักไว้ไม่ให้หนี

 

“ผมไม่มีแม่หรอกครับ” เนเว่ส่ายหน้าเบาๆ “จริงๆ ต้องเรียกว่าไม่มีทั้งพ่อและแม่ พ่อเก็บและเลี้ยงผมมาด้วยตัวคนเดียว จนผมเริ่มโตถึงได้มีคนรัก ผมไม่ได้เรียกว่าแม่ แต่ก็รักและเคารพมาก”

 

“เด็กดี…”  คนสูงวัยกว่าบีบบ่าเบาๆ โน้มใบหน้าลงมาหา ทำเหมือนพิจารณาอะไรอยู่

 

ตอนนั้นเองที่เนเว่รู้สึกผิดสังเกต  “…อะไรเหรอครับ”

 

“ฉันแค่คิดว่า…”  มือซ้ายรั้งบ่าไว้กระชับแน่น ส่วนมือขวาเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นอย่างช้าๆ  “…นายทำทรงนี้เหมาะ…ยิ่งใส่กับชุดสูทสีเข้ม ยิ่งดูดีมาก…”

 

วาสโก้แค่นหัวเราะเมื่อรอยยิ้มไร้เดียงสาจางไปจากใบหน้าขาว

 

เนเว่ขมวดคิ้ว เผยอปากเหมือนจะพูดแก้ต่าง แต่รู้ดีว่าไม่มีทางแก้ตัวอะไรได้อีก

 

“อืมมมม จมูกก็ไม่ได้ยื่นยาวออกมา” นิ้วใหญ่ไล้ไปตามผิวเนียน “พิน็อคคิโอ้ตัวปลอมสินะ”

 

“ผม…” เสียงนั้นแหบแผ่วกว่าเวลาปกติ “ผมขอโทษ”

 

“เรื่องไหนล่ะ” มือใหญ่บีบแน่นขึ้น จนได้ยินเสียงประท้วงด้วยความเจ็บ…อยากจะบีบคอด้วยซ้ำแต่กลัวเด็กบ้านี่ตอบคำถามไม่ได้ “โกหกเรื่องพ่ออย่างหนึ่งแล้ว โกหกเรื่องไปพบปิแอร์คนเดียวสองอย่างแล้ว โกหกเรื่องปิแอร์เป็นเพื่อนบ้านสามอย่างแล้ว”

 

“ผมไม่เคยบอกสักหน่อยว่าปิแอร์อยู่อพาตเมนต์นั้น— โอ๊ย!”

 

วาสโก้หยุดคำแก้ต่างนั้นด้วยการผลักอีกฝ่ายลงโซฟา เขาขึ้นคร่อมอย่างคุกคาม ปิดทางหนี

 

“โอเค เหลือเรื่องโกหกแค่สองอย่าง” ภาพชายสูทดำปรากฎขึ้นในหัว เขาโยงไปถึงเรื่องคนน่าสงสัยที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับตระกูลวอลเธอร์  “มีอะไรอยากสารภาพอีก”

 

เนเว่ยกมือยันอกกว้างไว้ กลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ย “…เรื่องพ่อ ผมไม่ได้โกหก แค่วันนี้เปลี่ยนนัดกะทันหันเลยไม่ได้เยี่ยมท่าน…เรื่องเสื้อผ้า ร้านนั้นต้อนรับแต่ลูกค้าที่สวมชุดดูดี…และปิแอร์กับผมเป็นแค่เพื่อนกัน…”

 

“ยิ่งยืนยันว่าเพื่อนยิ่งน่าสงสัยนะ…” คนคุกคามหงุดหงิด จึงจี้ถามถึงอีกหนึ่งคนที่ไม่ถูกอ้าง “แล้วผู้ชายอีกคนที่เข้ามาหาพวกนายล่ะ…”

 

ไม่รู้ว่าเห็นถึงขั้นไหน…แต่เนเว่ทำใจกล้า โกหกอีกครั้ง  “เขามาชวนผมไปทำงานอย่างว่า…ตามที่คุณเห็น ผมปฏิเสธ”

 

“โฮ่…” วาสโก้แสยะยิ้ม “พอแต่งตัวแล้ว ขายดีเหมือนกันนะเรา”

 

ประโยคนั้นดูถูกกันพอควร เนเว่เจ็บแปลบในอกขึ้นมาวูบหนึ่ง  “ผมไม่ได้ขายตัว”

 

“ดีแล้วที่ไม่ได้ขาย เพราะมีไม่ครบทั้งตัวแบบนี้ เวลาจ่ายเงินคงคิดลำบาก หักค่าเท้าออกไปอะไรแบบนั้น” พูดพลางเลื่อนมือลงไปยังเท้าปลอม กระชากมันออกโดยไม่สนเสียงร้องท้วง

 

“ผมขอโทษที่โกหกคุณ…แต่ไม่มีอะไรจริงๆ” มือเย็นยกขึ้นแตะสันกรามคนข้างบน ลูบโลมคล้ายวิงวอน “ผมคบกับใคร ผมมีเขาเพียงคนเดียว…”

 

วาสโก้ชะงัก คำพูดนั้นแทรกลึกเข้าไปในใจ

 

หากความรู้สึกขุ่นเคืองกับคำโกหก ทำให้เลือกจะพิสูจน์เสียก่อน

 

“ก่อนหน้านายบอกว่ายังไงก็ได้ แล้วใช้คำว่า ‘คบ’ ได้คล่องปากเลยเหรอ” กล่าวพลางแสยะยิ้ม มือถลกเสื้อยืดออก ไม่สนแม้อีกคนจะดิ้นรน “คิดไปเองหรือเปล่า ว่าเราเป็นอะไรกัน”

 

เนเว่หน้าหมองลงไป เพราะเป็นอย่างที่วาสโก้ว่า พวกเขาไม่เคยบอกรักกัน แม้จะเลยเถิดในเรื่องร่างกาย แต่เรื่องหัวใจไม่เคยมีข้อตกลงร่วม

 

“ผมไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน” เสียงนั้นแผ่วเบา “…รู้แค่ว่าความผูกพันและสิ่งที่เราผ่านมา มันมีค่ามากกว่าจะจำกัดความ นิยามไม่ได้…แต่ผม ‘รู้สึก’ นะครับ ว่าพวกเราไม่ใช่คนอื่นไกล”

 

หัวใจหยาบกระด้างค่อยๆ อ่อนไหว…

 

“เด็กบ้า…” ทั้งที่เขากะจะพูดให้โกรธแท้ๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้

 

“ถ้าอยากพิสูจน์ก็เอาเลยครับ” ร่างที่ถูกคร่อมไม่ขัดขืนอีกต่อไป

 

วาสโก้ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าผู้ต้องสงสัย ลากฝ่ามือไปตามผิวเนื้อเนียนขาว…ไม่มีร่องรอยใดๆ เลยที่แสดงว่าอีกฝ่ายปล่อยตัวให้คนอื่น

 

เขาควรจะเลิกสงสัย และปล่อยไป

 

แต่เสียงครางในลำคอของเนเว่ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของเขาสะกิดถูกจุดอ่อนไหว ทำให้ท่อนล่างตื่นตัวอย่างหยุดไม่อยู่

 

“ตามตัวไม่มีร่องรอย…” วาสโก้กลืนน้ำลาย ปลดกางเกงลงให้ท่อนลำแข็งออกมาตั้งชัน “เหลือแต่ข้างใน…”

 

เนเว่นอนตะแคงข้าง สายตาจ้องมองพนักโซฟาราวกับไม่อยากใส่ใจ หากยังกังวลพอจะขอร้องอีกฝ่าย “ใส่ถุงยางด้วยนะครับ”

 

คนถูกขอล้วงมือลงไปยังที่ซ่อนประจำ แต่ไม่พบสิ่งที่ต้องการ “หมดซะแล้ว”

 

ฝ่ายรองรับหันมาขมวดคิ้วใส่ “ผมไม่ทำนะถ้าไม่มีถุงยาง”

 

ความเคืองนั้น กลับกระตุ้นให้คนฟังรู้สึกท้าทาย “ทำแบบไม่มีแล้วกัน”

 

“ไม่เอา” ร่างเล็กเขยิบหนี ทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกโถมทับเอาไว้ “บอกว่าไม่เอาไงครับ”

 

“ถ้านายไม่ได้ไปมีอะไรกับคนอื่นจริงจะกลัวอะไรล่ะ” มือขวาตรึงแขนขาวไว้ในท่าคว่ำหน้า มือซ้ายลวนลามบั้นท้ายเลยไปถึงช่องทางด้านหลัง

 

“ผมไม่มีใคร!” เนเว่พยายามตะกายหนี เริ่มโกรธขึ้นมา “แต่ผมไม่แน่ใจในตัวคุณ”

 

เหตุการณ์มันพลิกกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้อหาคบชู้มันเบนมาหาเขาได้ยังไง…วาสโก้พึมพำในลำคอ

 

“ปากดี…”

 

จบคำ วาสโก้กดร่างบดทับ สอดใส่เข้าในช่องทางร้อนที่ตั้งตัวไม่ทัน…เนเว่หลุดเสียงร้องออกมาเสี้ยววินาที ก่อนจะก้มลงขบกัดพื้นโซฟา มือเล็กจิกทึ้งจนข้อนิ้วเกร็ง

 

รู้สึกว่าทำเกินไป วาสโก้จึงหยุดตัวเองไว้ ไม่ยอมขยับแม้กระหายอยาก…เขาก้มลงจูบต้นคอและไหล่เนียน ดูดเม้มตีตราเสียเอง มือขวาลูบคลึงแก่นกายเล็ก ปรนเปรอจนหลั่งน้ำใส มือซ้ายดึงหัวนมจนมันร้อนแข็ง…ช่องทางที่รัดเขาอยู่เริ่มผ่อนคลาย มันกระตุกตามจังหวะมือหยอกเย้า

 

ผู้ใหญ่ใจร้ายคว้ามือบางมากุม…เขาเริ่มขยับเอวเข้าออกเนิบนาบ โยกควงภายในไปมา เรียกเสียงครางในลำคอผสมกับการเคลื่อนสะโพกยวนยั่ว…

 

เพราะคุ้นเคยกันดี จาก ‘บังคับ’ ค่อยผ่อนคลายเป็น ‘ร่วมรัก’

 

ถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์มือถือขัดขวางเสียก่อน

 

เนเว่ที่กำลังตาปรือ สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินสายเรียกเข้าจากเครื่องของวาสโก้ อีกฝ่ายไม่ค่อยใช้มือถือนัก เสียงจึงไม่คุ้นหู เขาหันไปมองคนที่ควบขี่อยู่…ร้องห้ามไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมแขนไปกดรับ

 

“ว่าไงลูกพี่” เจ้าของบ้านเปิดลำโพง แล้ววางเครื่องลงกับโต๊ะกลางดังเดิม

 

ปลายสายเงียบอยู่อึดใจ ‘…ทำอะไรอยู่เหรอครับ’

 

“ทำเรื่องเพลินๆ นิดหน่อย” ไม่รู้ทำไม สงสัยสันดานเสียสั่งให้เขารังแกเจ้าตัวเล็กข้างใต้ “คุยได้ ว่ามาสิ”

 

‘โอเค’ ตอบรับง่าย บ่งบอกว่าเรื่องที่โทรมาไม่ได้เป็นความลับ ‘คุณคงจะทราบดีแล้ว ว่าท่านชาร์ลส์ กำลังจะเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี’

 

ชาร์ลส์ วอลเธอร์ เจ้านายใหญ่แห่งกลุ่มอิทธิพล เนเว่ทวนประวัติ ‘คนที่จับตา’ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

จังหวะเดียวกับที่บั้นท้ายถูกอัดเสียงดังพั่บใหญ่

 

วาสโก้แสยะยิ้ม ยิ่งเนเว่เกร็งยิ่งบีบรัด เขาเหนี่ยวเอวเล็กไม่ให้หนี แล้วซอยสะโพกถี่รัวเกิดเสียงหยาบโลน…

 

‘ท่านชาร์ลส์อยากจะให้คุณเข้าพบ คงจะอยากเห็นหน้า ‘อดีตลูกเขย’ ขึ้นมา กรุณาไปตามนัดสัปดาห์หน้าด้วยนะครับ’ เสียงจากลำโพงนั้นยามพูดฟังดูธรรมดา แต่เมื่อได้ยินเสียงลามก เสียงนั้นจึงเริ่มหัวเราะแหบต่ำราวกับผีพราย ‘ฮ่ะ…ฮ่ะ…ฮ่ะ…คุณเองยังแข็งแรงดี แต่อย่าขยี้จนหมดแรงแล้วผิดนัดนะครับ’

 

“ขอบคุณที่เตือนนะโฆเซ่” เอ่ยชื่อปลายสายด้วยลมหายใจหนักหน่วง “เด็กตัวแค่นี้ไม่ทำให้ฉันหมดแรงหรอก”

 

‘เด็กเหรอ ไม่ร้องเลยสักนิด’ โฆเซ่หัวเราะแหบกระด้าง ‘ครางหน่อยสิหนู ครางให้ลั่นแล้วจะได้เงินดีนะ’

 

เนเว่ขบฟัน ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าเพราะโดนดูถูกว่าเป็นโสเภณี แม้จะถูกปลุกปั่นความใคร่ให้อยากเปล่งเสียง หากเขาเลือกจะทนอย่างทรหด

 

วาสโก้ขย่มร่างเล็กอย่างรุนแรง จนใกล้จะถึงจุดหมาย จึงรีบบอกลาปลายสาย “เท่านี้ก่อนนะลูกพี่ เจอกันสัปดาห์หน้า”

 

“เลิกเรียกผมว่าลูกพี่เสียทีเถอะ” โฆเซ่หัวเราะส่งท้ายก่อนจะตัดการติดต่อ

 

บ้านเงียบในพริบตาเมื่อวาสโก้หยุดขยับ…เขาเงี่ยหูฟังร่างข้างใต้…หวังจะได้ยินเสียงครางสุดกลั้นในลำคอ

 

…ทว่า…ได้ยินเพียงเสียงขบฟัน…

 

หัวใจหล่นวูบ เมื่อการรังแกนั้นไม่ได้สร้างความตื่นเต้นหวาดเสียว แต่กลับสร้างความหวาดกลัวให้เด็กน้อย…คนกระทำถอนตัวเองออกจากช่องทางคับอย่างลำบาก พลิกร่างข้างใต้ให้หันมาหา…ลูบใบหน้าที่หลับตาแน่นและชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นอย่างปลอบประโลม

 

“นาย…ไม่ชอบสินะ”

 

เนเว่ปรือตาขึ้น หัวคิ้วขมวดแน่นอย่างขุ่นเคืองแทนคำตอบ

 

“ฉันผิดเอง…” ขอโทษเพราะรู้ว่าคึกคะนองเกินไป จนปฏิบัติอย่างรุนแรงกับคนที่ควรถนอม

 

“ทำแบบนี้…แล้วยังสงสัยผมอยู่ไหมครับ”

 

วาสโก้ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่แล้ว…ฉันขอโทษ เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม”

 

ถามจบจึงลดตัวลงจูบริมฝีปากแดงจัด…รู้สึกถึงรสเลือดจากรอยฟันที่เจ้าตัวขบกัดกลั้นเสียง เขาพรมจูบลงไปตามใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกขาว

 

แต่แม้จะนุ่มนวลแค่ไหน เสียงประท้วงยังออกมาจากริมฝีปากช้ำ “เคราคุณ…เจ็บ”

 

คนตัวใหญ่ชะงักแล้วยันร่างขึ้น ลูบมือไปตามเคราแข็งที่คงจะบาดผิวอ่อน “…ขอโทษ ให้ฉันไปโกนก่อนไหม”

 

วาสโก้ตัวเกร็งขณะลุ้นว่าจะถูกไล่ไปทั้งที่ยังค้างหรือไม่

 

นัยน์ตาสีฟ้ามองอย่างเย็นชา…ก่อนจะปิดลงแล้วถอนหายใจ แขนเล็กยกขึ้นแล้วเหนี่ยวบ่ากว้างลงไปหา ใช้สองขาเกี่ยวกระหวัดสะโพกใหญ่ให้ชิดแนบ

 

“ต่อเถอะครับ…” เอวบางบดเนิบช้า ถูไถความใคร่เปียกร้อนเข้ากับกล้ามท้องแข็ง “…แต่เบาๆ…อย่าลืมว่าผมยังโกรธอยู่”

 

คนถูกโกรธพูดไม่ออกตอบไม่ถูก ท่อนล่างลุกโชนจนไม่ต้องใช้มือจับก็สามารถสอดเข้าช่องทางชื้นฉ่ำได้สะดวก วาสโก้ซุกใบหน้าลงกับซอกคอเนียน สูดกลิ่นกายละมุนอย่างมัวเมา

 

ต้องถูกเนเว่โกรธอีกแน่นอน เพราะอยากจะเบาตามสัญญา…แต่เอวหนากลับหยุดกระแทกไม่ได้

 

TBC

 

 

12.

 

 

เพราะทำเรื่องฝืนใจกันเอาไว้ วาสโก้จึงพยายามเอาใจเด็กน้อยของเขาเป็นพิเศษ

 

“ตื่นได้แล้ว”

 

ก่อนหน้านี้คนที่เรียกมักจะเป็นผู้อยู่อาศัย แต่ช่วงระยะหกเจ็ดวันมานี้ วาสโก้กลับเป็นฝ่ายมาปลุกก่อนเสมอ

 

เนเว่งัวเงียลุกขึ้น แสงยามเช้าของช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิทำให้ลืมตาลำบาก เจ้าตัวยกเข่าขึ้นนั่งกอด ซบหน้าอยู่อึดใจก่อนจะควานหาเท้าปลอมซึ่งถอดไว้ข้างเตียง…หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งขาขวาถูกจับลอยขึ้นไปพาดอยู่บนตักแข็ง

 

“ขอบคุณครับ” เอ่ยเสียงง่วงงุน ป้องปากหาว

 

วาสโก้สวมเท้าปลอมให้อีกคน วันแรกตะกุกตะกักบ้าง จนทำหลายวันเข้าก็เริ่มชำนาญมากขึ้น เขายกขาเรียวขึ้นจูบเมื่อสวมให้เสร็จ หัวเราะเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กสะดุ้งและหน้าแดง

 

เนเว่เกาแก้ม ไม่ชินกับการถูกปรนนิบัติเอาใจ เขานึกเรื่องพูดแก้เก้อ และสะดุดตาเข้ากับชุดของอีกฝ่าย

 

“วันนี้จะไปไหนเหรอครับ” นัยน์ตาสีฟ้าพิจารณาคนตรงหน้า…หล่อเหลาจนรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นกว่าเดิม

 

วาสโก้อยู่ในชุดสูททรงอิตาเลียน มองแล้วรู้ได้ทันทีว่าสั่งตัดอย่างดี แม้การสวมสูทดำกับเชิ้ตขาวจะสามัญธรรมดา แต่เมื่อใส่พร้อมเนคไทด์สีเลือดนก ผนวกบุคลิกอันตราย ชายหนุ่มจึงราวกับนายแบบหล่อร้ายไม่มีผิด

 

“ฉันหล่อใช่ไหมล่ะ” ชมตัวเองได้ไม่อายปากก่อนจะตอบคำถาม “วันนี้ต้องไปทำธุระที่ตระกูลวอลเธอร์”

 

เนเว่พยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ที่จริงเขารู้กำหนดการอยู่ในใจเสมอ “โชคดีนะครับ…แล้วต้องไปนานแค่ไหน”

 

“อาจจะกลับดึกหน่อย” เพราะไม่รู้ว่าการนัดพบเจ้านายจะจบลงตอนไหน จึงเลือกจะตอบเวลาช้าที่สุด “แต่กลับแน่นอน ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องนอนคนเดียว”

 

“ใครรอคุณมานอนด้วยกัน” แกล้งตอบแล้วหัวเราะคิก ก่อนจะร้องเหวอเมื่อถูกช้อนตัวลอย

 

“วันนี้เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้านนะ” บอกพลางอุ้มร่างเล็กออกมาจากห้องนอน พาไปหย่อนลงในห้องครัว “แล้วก็…ช่วยทอดแพนเค้กให้ที ทำยังไงมันก็ไหม้…”

 

เนเว่หลุดหัวเราะก๊าก “นี่จะมีสักวันที่ผมตื่นมาได้กินมื้อเช้าบนเตียงไหมครับ”

 

“เชื่อเถอะว่าฉันพยายามแล้วจริงๆ…” วาสโก้โอดครวญ การเอาใจยามเช้าของเขาต้องตกม้าตายทุกวันเพราะฝีมือการทำอาหารสุดไม่เอาไหน

 

“ไม่นับเรื่องอาหาร ทุกอย่างที่คุณทำก็เพอร์เฟ็คแล้วครับ” มือขาวเอื้อมไปเช็ดรอยแป้งแพนเค้กที่ติดอยู่บนปลายเคราออกให้ “ผมจะโกรธคุณได้นานแค่ไหนกัน”

 

คำตอบนั้นคือการที่วาสโก้ย่อตัวลงมาจูบเบาๆ

 

“เสียดายที่ต้องออกจากบ้านไว ฉันเลยต้องกินแซนด์วิซที่เหลือเมื่อวาน” บอกพลางขยับเสื้อให้เรียบร้อย “เก็บแพนเค้กไว้ให้ด้วยนะ”

 

“ครับ” พ่อครัวพยักหน้ารับ “เดินทางปลอดภัย”

 

วาสโก้ยกมือขยี้เส้นผมนุ่มของคนตรงหน้า ก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือและกุญแจรถ

 

เนเว่มองรถยนต์คันใหญ่วิ่งไปจนพ้นเขตที่ดิน…ยังรู้สึกถึงกลิ่นโคโลญจ์ลอยอวลผสานไปกับกลิ่นหอมหวานของแป้งขนม…

 

———

 

คฤหาสน์ของตระกูลวอลเธอร์นั้น เหมือนจำลองแบบมาจากปราสาทโบราณ เพียงแต่ไม่ได้ใช้อิฐเก่าเป็นวัสดุหลัก แต่ใช้หินอ่อนสีนวลประกอบขึ้นมา ทั่วทั้งบริเวณจึงเหมือนผลงานตื่นตาราวกับประติมากรรมของนักสลักในอดีต

 

วาสโก้ได้รับสิทธิพิเศษ สามารถนำรถไปจอดได้ถึงประตูอาคาร เขาส่งกุญแจให้กับเด็กรับใช้ซึ่งบริการอย่างนอบน้อมราวกับโรงแรมห้าดาว

 

‘โฆเซ่ คัสเตลโร่’ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใกล้ทางเข้า ด้วยวัยเกือบห้าสิบปีทำให้สายตายาวจนต้องใส่แว่น เขาถอดมันออกเมื่อเห็นผู้ถูกเชิญมาถึง ยืนขึ้นเผชิญหน้าด้วยส่วนสูงที่พอๆ กัน

 

“ยังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีกเหรอลูกพี่” วาสโก้ถามก่อนยื่นมือไปจับทักทาย “นึกว่าจะเล่นหัดเล่นมือถือจนคล่องแล้วเสียอีก”

 

“ผมมันคนยุคเก่าน่ะ” ยิ้มพลางบีบมือตอบก่อนจะเก็บแว่นตาใส่กระเป๋าด้านในเสื้อสูท ใกล้กับปืนลูกโม่กระบอกใหญ่

 

“มานั่งรอผมแบบนี้ แสดงว่าจะเข้าไปพบกับท่านพร้อมกันใช่ไหม” ถามพลางจะออกเดินนำ แต่ถูกขวางทางเอาไว้เสียก่อน

 

“ก็ไม่เชิง…” โฆเซ่ยิ้มเยือกเย็น ใช้หลังมือตบเบาๆ ทั่วเสื้อสูทของผู้มาเยือนเพื่อหาสิ่งของต้องสงสัย “ไม่ได้พกปืนมาเหรอครับ”

 

“ใครพกปืนมาพบเจ้านายกันบ้าง” วาสโก้แค่นหัวเราะ “ให้ผมถอดเสื้อไหม เดี๋ยวนี้อุปกรณ์ดักฟังมันล้ำยุคขึ้นเรื่อยๆ”

 

“ผมแค่ทำตามหน้าที่ ไม่ได้สงสัยอะไรคุณเสียหน่อย” องครักษ์ประจำตระกูลตบบ่าคนอายุน้อยกว่า “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”

 

หลังการตรวจสอบเล็กน้อย ทั้งคู่จึงออกเดินไปด้วยกัน…ในยามปกติ เจ้านายใหญ่ของตระกูลจะให้เข้าพบในห้องทำงาน แต่ด้วยปัญหาด้านสุขภาพ ครั้งนี้จึงเปลี่ยนสถานที่เป็นห้องนอนชั้นบนแทน

 

ประตูไม้บานใหญ่เปิดออก หอบเอาลมเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำปะทะใบหน้า โฆเซ่หยุดฝีเท้า ปล่อยให้วาสโก้ซึ่งมี ‘ความสำคัญ’ มากกว่าเดินเข้าไปเพียงคนเดียว

 

ขายาวๆ ก้าวไปยืนข้างเตียงหลังใหญ่ ค้อมศีรษะลงเมื่อชายสูงวัยซึ่งนั่งเอนหลังอยู่ยื่นมือมาให้จับ ก่อนจะก้มลงจูบบนแหวนวงโตบนนิ้วชี้

 

‘ชาร์ลส์ วอลเธอร์’ อายุหกสิบสองแล้วในปีนี้ เขาแค่นยิ้มก่อนจะเอ่ย “ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ลูกเขยของฉันจะไม่มาให้เห็นหน้าเลยสินะ”

 

 

วาสโก้นิ่งไป ในใจสรรหาคำตอบที่เหมาะสมและสวยหรู

 

ทว่า คำแก้ต่างของเขา กลับเอ่ยออกมาจากปากคนอื่น

 

“…ต้องเรียกว่า ‘อดีตลูกเขย’ นะคะ” เสียงนุ่มนวลดังมาจากอีกฟากฝั่งเตียง “แล้วคุณต่างหาก…เวลาปกติไม่เคยเรียกหา ใครจะกล้าเข้าใกล้ พอมีเรื่องจำเป็นขึ้นมาก็ตัดพ้อเสียอย่างนี้”

 

วาสโก้ส่งยิ้มบางขอบคุณการโต้ตอบแทนนั้นให้กับ ‘เฮนเรียตต้า วอลเธอร์’ อดีตแม่ยายของเขา

 

แม้จะดูรู้ด้วยสายตาว่าอายุของเธอไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อพิจารณาทั้งเส้นผมยาวเป็นลอนสีบลอนด์ทอง ดวงตาสีเทาสว่างและร่างระหง ทำให้เฮนเรียตต้ายังคงสง่างามราวกับเทพีในวัยห้าสิบห้าปี…ตำหนิเดียวบนใบหน้างามคงจะเป็นใบหูข้างซ้ายที่แหว่งไปครึ่งหนึ่ง

 

“ฉันแค่หยอกวาสโก้เล่น เธอจะจริงจังทำไม” สามีผู้สังขารโรยรากว่าภรรยาไปเยอะพ่นลมหายใจยาว “แตะต้องไม่ได้เลยนะคนโปรดคนนี้”

 

“รู้ว่าแตะไม่ได้ก็อย่าทำให้เขาลำบากใจสิ” เฮนเรียตต้าคลี่ยิ้มเอื้ออาทร “เพราะเรายังต้องพึ่งพาพ่อหนุ่มนี่อีกมากมาย…เข้าเรื่องเลยดีกว่าไหม วาสโก้ไม่ได้ขับรถมาตั้งไกลเพื่อฟังเราสองคนเถียงกันนะ”

 

“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” ชายหนุ่มสำรวมท่าทาง คุ้นเคยกับการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าจะเป็นเครือญาติ

 

“โฆเซ่บอกนายว่าฉันจะไปตรวจร่างกายใช่ไหม” ชาร์ลส์ป้องปากแล้วไอออกมาครั้งหนึ่งก่อนพูดต่อ “ที่จริงฉันจะไปเข้ารักษาตัวสักพัก”

 

วาสโก้เบิกตากว้าง “สุขภาพของท่าน…”

 

“มะเร็งปอดมันขยับขึ้นไประยะที่สามแล้ว” ผู้เป็นนายเฉลยอาการของตัวเอง “แน่นอนว่ารู้กันแค่หมอกับคนในบ้านนี้ ไม่งั้นพวกศัตรูคงจุดพลุฉลอง”

 

“อันที่จริง ฉันอยากจะพาเขาไปรักษาในเมืองอื่น” เฮนเรียตต้าถอนหายใจยาว “แต่กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จนรู้กันไปทั่ว เลยตัดสินใจว่าลองรักษาที่โรงพยาบาลกลางเมืองเรเวนก่อน”

 

“การแพทย์เดี๋ยวนี้ก้าวหน้านะครับ ต้องรักษาได้แน่นอน” ชายหนุ่มเอ่ยเอาใจอดีตพ่อตา โดยหวังว่าจะเป็นจริงด้วยส่วนหนึ่ง

 

“สมพรปากเถิดพ่อหนุ่ม” ชาร์ลส์หัวเราะเบาๆ “ยังไม่กำหนดวันแอดมิทก็จริง แต่ฉันเห็นว่าควรเรียกเธอมาคุยเสียก่อน…ระหว่างฉันไปรักษาตัว หลายเรื่องคงต้องฝากไว้เพราะเธอเป็นคนเดียวที่มีสถานะพอจะแบกรับไหว”

 

วาสโก้พลันรู้สึกถึงภาระกดทับลงบนบ่า…ภาระที่ครั้งหนึ่งสองคนตรงหน้ากระชากมันออกไป ก่อนที่จะโยนกลับคืนมาราวกับตลกร้าย

 

หากเขาจะทำอะไรได้ นอกจากตอบรับ

 

“ผมจะสนับสนุนนายหญิงให้ดีที่สุด ในระหว่างที่นายท่านรักษาตัวแน่นอนครับ”

 

“ขอบคุณ…” นายใหญ่ตอบรับ สีหน้าเบาใจปนกับเหนื่อยอ่อน

 

“พักผ่อนเถอะ” ผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมาห่มผ้าให้สามี ก่อนจะอ้อมมาอีกฝั่งเตียง เผชิญหน้ากับอีกคน “…มีเธอมาช่วย ฉันก็เบาใจ”

 

“เป็นเกียรติของผมมากกว่าครับที่ท่านทั้งสองเรียกใช้” วาสโก้คลี่ยิ้ม

 

เฮนเรียตต้าถอนหายใจ “เธอคงออกหน้าในฐานะผู้สืบทอดได้มากกว่านี้ ถ้ายัยลูกสาวของฉันไม่ทำเรื่อง…”

 

“ถ้าจะบ่นเรื่องเดิมๆ ออกไปข้างนอกซะ ฉันจะนอน” ชาร์ลส์บอกเสียงแหบ ขณะขยับตัวลงนอนราบ

 

ดวงตาสีเทางามมองค้อนสามี “…เอาเถอะ พูดไปก็ไม่เกิดผลอะไรตอนนี้ ขอบคุณที่มานะ วาสโก้”

 

เจ้าของชื่อไม่ตอบ เพียงแค่ค้อมศีรษะพร้อมแววตาเทิดทูนสุดหัวใจ…

 

———

 

หลังเสร็จธุระกับสองนายใหญ่ของบ้าน วาสโก้บอกลาโฆเซ่และมายืนรอรถของตนอยู่หน้าประตู

 

จังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงหวานตะโกนเรียก

 

“วาสโก้!”

 

เขาหันไปมอง ก่อนจะยิ้มรับเมื่อสาวงามผมสีน้ำตาลเข้มวิ่งมาหา เธอโผกอดเขาอย่างยินดีที่ได้พบหน้า

 

“ติดหิมะอยู่ตั้งหลายเดือน นึกว่าจะผอมแห้งแล้วเสียอีก” มือเรียวบีบแขนใหญ่อย่างขี้เล่น “เห็นไหมว่าเสบียงของฉันดีพร้อมแค่ไหน”

 

“ไม่ได้เธอฉันคงตายไปแล้ว ต้องพูดแบบนี้ใช่ไหม ที่เธออยากได้ยิน” ชายหนุ่มตบบ่าเธอเบาๆ …‘โรซาเลีย วอลเธอร์’ เป็นลูกสาวคนเดียวของชาร์ลส์และเฮนเรียตต้า…และเป็นอดีตภรรยาของเขา

 

“รู้ใจฉันตลอด” โรซาเลียหัวเราะ “มาเจอพ่อกับแม่เหรอ เป็นยังไงบ้าง ถูกแซะอะไรมารึเปล่าคราวนี้”

 

“แซะอะไรกัน…” บ่ายเบี่ยงไปอย่างนั้น แม้ความจริงจะโดนมา “นี่เธอเพิ่งมาถึง หรือว่ามานานแล้ว”

 

“มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน เดินกวนประสาทสองคนนั่นจนพอใจแล้วก็ออกไปช็อปปิ้ง” บอกพลางกลอกตาอย่างซุกซน “นี่แทบจะเดินขึ้นไปเหยียบพ่ออยู่แล้ว ยังไม่มีใครยอมคุยกับฉันเลย อะไรจะแค้นกันขนาดนั้น”

 

วาสโก้หัวเราะแห้งๆ กับความเปิดเผยอันคุ้นชิน…

 

เขากับโรซาเลีย ‘เคย’ รักกัน เมื่อหลายปีก่อน

 

ชายหนุ่มมีช่วงหนึ่งที่ถูกเปรียบเปรยดั่งซินเดอเรลล่า หากจะเล่าที่มาต้องย้อนอดีตไปไกลเสียหน่อย…

 

ชีวิตวัยเด็กของวาสโก้ไม่ค่อยสวยหรูนัก เขาอยู่กับแม่เพียงลำพังในสลัม เติบโตมาอย่างขัดสนแร้นแค้น โชคแรกในชีวิตคือการที่เฮนเรียตต้าผ่านมาแล้วจำได้ว่าแม่ของเขาคืออดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียน เธอยื่นมือช่วยสองแม่ลูก ให้อาศัยและทำงานในคฤหาสน์ เขาได้เรียนจนจบ…แต่แม่อยู่สุขสบายได้ไม่นานนักก็จากไปด้วยโรคร้าย

 

เพราะอยู่รับใช้มานานจนได้รับความไว้ใจ ชาร์ลส์และเฮนเรียตต้าจึงถือคติใกล้เกลือก็ควรกินเกลือ ไม่อุตริไปกินด่าง แทนที่จะส่งลูกสาวแต่งออกไปตระกูลอื่นให้เสียอำนาจ จึงสนับสนุนเขาให้คู่กับโรซาเลีย วาสโก้จีบเธอติดอย่างง่ายดายและแต่งงานกัน ใช้ชีวิตแบบที่ชายหนุ่มค่อนเมืองต้องอิจฉา เป็นลูกเขยของตระกูลใหญ่ ผู้ในอนาคตจะได้สืบทอดทุกอย่าง

 

ก่อนฝันจะสลายลงตรงหน้า เมื่อโรซาเลียพบคนรักแห่งโชคชะตา…เป็นผู้หญิง

 

ลูกสาวคนเดียวกลายเป็นเลสเบี้ยน แถมเอาแต่ใจจนแตะต้องไม่ได้ โรซาเลียหนีไปอยู่กับคนรักโดยไม่สนพ่อแม่ ชาร์ลส์กับเฮนเรียตต้าจึงโยนความผิดมาให้วาสโก้ ข้อหาไม่สามารถยื้อเธอเอาไว้ โดยการส่งเขาไปเฝ้าภูเขา…แต่เพราะหน้าตาทางสังคมต้องรักษา ทั้งคู่จึงไม่ยอมให้วาสโก้และโรซาเลียหย่าขาด คงเหลือสถานะค้างคา…เพื่อจะได้สะดวกใช้ในช่วงเวลาแบบนี้

 

แม้ชีวิตจะพังลงไปเพราะโรซาเลีย แต่วาสโก้ก็ไม่ได้รังเกียจเธอ คงเพราะยังเหลือเยื่อใยและเห็นเป็นน้องสาว

 

“‘บรี’ สบายดีหรือเปล่า” เขาถามถึงผู้หญิงที่กุมใจอดีตภรรยา

 

“สบายดี แต่ฉันไม่ให้มาด้วยเพราะไม่รู้แม่จะแผลงฤทธิ์อะไรใส่เธออีก” โรซาเลียขมวดคิ้วอย่างกังวล “จะว่าไป…ข่าวลือเรื่องพ่อป่วย ไปไกลกว่าที่คิดนะ”

 

“ฉันก็พอรู้มาบ้าง” ยุคนี้ข่าวสารมันไปไวเสียยิ่งกว่าเกสรในฤดูใบไม้ผลิ

 

“พวกอริเก่าๆ เริ่มออกมาร่าเริงกันแล้ว คุณต้องระวังตัวบ้าง” หญิงสาวใช้คำคล้ายล้อเล่น หากสีหน้าบ่งบอกว่าจริงจัง “โดยเฉพาะพวก ‘ซองโตเน่’”

 

ซองโตเน่…ตระกูลศัตรูที่มีประวัติคู่ขนานมากับวอลเธอร์ แต่ถูกทำลายและอยู่ในภาวะไร้ผู้นำมาอย่างยาวนาน วาสโก้ยังเด็กมากตอนที่สงครามระหว่างตระกูลถึงจุดเดือด โรซาเลียก็เช่นกัน แต่ด้วยสายเลือดโดยตรงแล้ว เธอดูจะรู้เบื้องลึกมากกว่า

 

“ดังนั้น…ระวังตัวให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าสายข่าวพวกนั้นจะเจาะเข้ามาทางไหน” เธอย้ำคำเตือนปนอ้อนวอน “ชีวิตของพ่อ…ฝากไว้กับมือคุณ”

 

ความกดดันโถมหนักกว่าเดิมบนบ่า หากวาสโก้ยังคงพยักหน้าไหว

 

“เธอเองก็เหมือนกัน” จบประโยคนั้น พร้อมกับที่เด็กรับใช้ขับรถมาส่งพอดี “แล้วจะติดต่อไป”

 

อดีตสามีภรรยา จากลากันตรงนั้น

 

……

………

…โดยไม่มีใครรู้ทัน…ว่าสายข่าว ‘ฝัง’ อยู่ในแผ่นไม้ของบานประตูหน้า และในขอบหน้าต่างห้องนอนใหญ่

 

เทคโนโลยีของอุปกรณ์ดักฟังกำลังแรงสูงนั้น บันทึกเสียงพูดคุยและส่งไปยังเครื่องรับที่อยู่ห่างเป็นร้อยเมตรได้อย่างชัดเจน ปิแอร์ซุ่มอยู่บนยอดตึก ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อดักจับข่าวสำคัญได้ เขาก๊อปปี้ไฟล์เสียงแล้วส่งต่อ

 

ไม่กี่นาทีถัดมา ผู้ได้รับไฟล์ก็โทรหา

 

“ชัดเจนดีไหม” ปิแอร์ดีดนิ้วดังเป๊ะ “ไม่เสียแรงลงทุนกับไอ้เครื่องนี้ไปเป็นพันเหรียญ”

 

‘ชัดเจนมากเลย’ ปลายสายหัวเราะ รู้ดีว่าเพื่อนเฉือนเนื้อตัวเองจ่ายไปแค่ไหนในการถีบตัวเองขึ้นเป็นสายข่าวชั้นยอด ‘ขอบคุณมากปิแอร์ เดี๋ยวจะโอนเงินค่าข่าวให้’

 

“ยินดีที่ได้รับใช้คร้าบบบบ” ตอบรับอย่างร่าเริง แต่จู่ๆ ก็ชะงักเพราะนึกอะไรได้ “ว่าแต่…ลุงวาสโก้น่ะ…เขาเป็น…นายรู้มาก่อนไหม”

 

…อีกฟากของสัญญาณโทรศัพท์ที่ปิแอร์มองไม่เห็นนั้น เนเว่ยิ้มบาง…

 

‘ฉันรู้อยู่แล้ว’

 

TBC

ในที่สุดเนื้อเรื่องก็คืบหน้าแย้วววววววววววว XD

[Novel] Be[lie]ve. – 9&10

17-05-25-16-55-15-337_deco

ตอนก่อนเก่าเก่าก่อนก่อนก่อนเก่า

9.

 

แม้อยากหยุดเวลาแห่งความสงบเอาไว้เพียงใด ฤดูกาลก็ผันไปอย่างคงเส้นคงวา

 

เนเว่ค่อยๆ เดินลงมาตามเนินเขา ตรงไปยังรั้วทางเข้าติดถนนใหญ่ ที่นี่มีกล่องจดหมายทำจากเหล็กติดตั้งอยู่ เขาใช้กุญแจดอกเล็กที่พกมาไขเปิดออก หยิบจดหมายสามฉบับออกมา…ฉบับแรกคือค่าไฟฟ้า ฉบับที่สองคือค่าโทรศัพท์บ้าน และฉบับสุดท้ายประทับตราตระกูลวอลเธอร์ จ่าหน้าถึงวาสโก้

 

เขาลองยกซองขึ้นส่องกับแสงแดดยามเช้า กระดาษข้างในมีแถบสีดำปกปิดข้อความ คาดเดาได้ว่าเป็นหลักฐานทางการเงิน

 

หนุ่มน้อยกลับบ้าน ตรงไปหาเจ้าของจดหมายบนโซฟา เนเว่เดินอ้อมไปด้านหลัง คล้องแขนรอบคอคนตัวใหญ่ที่กำลังง่วนอยู่กับสมาร์ทโฟนในมือ แล้วต้องหลุดขำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเล่นอะไรอยู่

 

“แอพเกมอื่นๆ มีให้เลือกโหลดตั้งเยอะ คุณก็ยังเลือกเททริสอยู่ดี”

 

“ช่วยไม่ได้…เกมอื่นไม่ถูกใจ” วาสโก้บ่นเสียงเบา อันที่จริงเขาลองเล่นมาหลายเกม แต่ตายด่านแรกทุกครั้ง ความหงุดหงิดเพราะเกลียดการพ่ายแพ้ ทำให้เขาเลือกจะกลับมาหาเกมที่ตนเองชำนาญที่สุด

 

เนเว่ลอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะแกล้งยื่นมือไปกดหน้าจอให้บล็อกร่วงลงมารัวๆ

 

“เฮ้ย!” คนเล่นอยู่ประท้วง เขาเลิกเล่นเกมหันมาเล่นคน โดยการเอี้ยวตัวไปคว้าร่างเล็กแล้วจับทุ่มลงกับโซฟาข้างตัว

 

“อ๊าก!” คนถูกทุ่มส่งเสียงกระอักแบบเกินจริง หัวเราะที่แกล้งคนติดเกมได้ แม้ตัวเองจะถูกเอาคืนแบบไม่มีทางสู้ก็เถอะ

 

“กล้ากวนฉันตอนเล่นเกมแบบนี้ มีอะไรอีกล่ะ” วาสโก้ดึงเจ้าตัวเล็กให้นอนหนุนตักแล้วถามอย่างรู้ทัน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเนเว่ไม่เคยเกเรใส่ ยกเว้นมีเรื่องต้องคุย

 

“จดหมายของคุณครับ” มือขาวราวกับกระดาษยื่นของให้

 

เจ้าของชื่อบนจ่าหน้ารับมาเลื่อนดูทีละซอง เขาชะงักเมื่อถึงซองสุดท้ายจากตระกูลวอลเธอร์ ดวงตาเข้มลอบมองคนที่นอนหนุนตัก ปรากฎว่าสบตากันพอดี

 

“ได้เงินเดือนเท่าไหร่ครับ” ประโยคนั้นมาด้วยเสียงธรรมดาเหมือนถามเรื่องดินฟ้าอากาศ

 

วาสโก้ยังไม่ตอบ เขาฉีกซอง…ในนั้นมีกระดาษเพียงใบเดียว ระบุเงินโอนเข้าบัญชีหกร้อยเหรียญ ปกติเงินจำนวนนี้ต่อเดือนเพียงพอให้เขากินอยู่อย่างเหลือใช้ มีอีกหนึ่งปากท้องให้เลี้ยงก็ยังพอจ่าย

 

แต่ปัญหาอยู่ที่อีกฝ่ายคาดหวังว่าจะได้รับเงินเดือนตามที่เขาสัญญา…เจ้าตัวออกไปตรวจสอบหมุดหลักเขตทุกวันไม่ได้ขาด ขยันกว่าเขาร้อยเท่า

 

กำลังลังเลว่าจะควรแบ่งเงินครึ่งหนึ่งจ่ายให้เนเว่หรือไม่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

 

“สมัยนี้การจะจ้างใครไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่แปลกหรอกครับที่เจ้านายของคุณจะยังไม่อยากรับผมเข้าทำงาน ผมเข้าใจนะครับ”

 

วาสโก้นิ่งไป…คำกล่าวของเนเว่เป็นเหตุเป็นผล เขาไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรอีก

 

“ใช่…เพราะนายเพิ่งมาอยู่กับฉันไม่นานด้วย” เขาพูดตามน้ำ โกหกได้อย่างคล่องปากเพราะที่จริงแล้ว…เขาไม่อยากแนะนำเด็กคนนี้ให้กับทางเจ้านายรับรู้

 

“ผมเผื่อใจเรื่องนี้ไว้พอควร…” เนเว่ลุกขึ้น หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาเปิดรูปภาพ “เลยหาช่องทางทำเงินอื่นๆ จากป่า แล้วเจอพวกนี้พอดี”

 

เจ้าของบ้านมองรูปถ่าย…กองกระดูกสัตว์สภาพดีเรียงรายอยู่หลังบ้าน มีกะโหลกของกวางเขางามวางเด่น ปกติบริเวณนี้จะมีผ้าใบคลุมทับเอาไว้ และเขาขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจเปิดดู

 

“จำได้ว่าสัตว์ป่าไม่ถือเป็นของตระกูลวอลเธอร์ แถมนี่ยังเป็นซากสัตว์อีก เลยไปเก็บมาทำความสะอาด กะว่าจะไปปล่อยขายในเมือง” นิ้วเล็กกดปิดหน้าจอ ยิ้มบางให้อีกฝ่าย “ผมพอจะมีเส้นสายคนที่รับซื้ออยู่บ้าง”

 

“นายนี่…หัวการค้าเหมือนกันนะ” บอกพลางยื่นมือมาจับศีรษะกลมทุย สอดนิ้วไปในเส้นผมนุ่ม “เดี๋ยวจะหากระสอบใหญ่ๆ มาใส่ แล้วบรรทุกขึ้นหลังคารถ”

 

คนถูกชมยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเรื่องคาใจ “ผมไม่อยากให้คุณกังวลเรื่องผมมากเกินไป ถึงผมจะดูไม่เอาไหน แต่ก็พึ่งพาตัวเองได้”

 

“ฉันไม่เคยคิดว่านายไม่เอาไหน” บอกพลางเลื่อนมือจากเส้นผมลงมายังหัวไหล่ ดึงให้อีกคนเอนตัวมาหา “…พอมีนายอยู่ด้วย ชีวิตฉันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

 

ในมุมที่คนตัวใหญ่ไม่เห็นนั้น นัยน์ตาสีฟ้าปรากฎความหวั่นไหว

 

เป็นที่ต้องการ…ให้ความรู้สึกดีเสมอ

 

“ผมดีใจที่คุณรู้สึกแบบนั้นนะครับ” เนเว่กระซิบ

 

“ส่วนเรื่องรายได้…” วาสโก้ทอดสายตาไปไกล มองผืนดินโล่งกว้าง “…ที่ดินตรงหน้าบ้านเป็นชื่อของฉันเอง สามารถทำอะไรก็ได้…เราลองมาปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์ส่งขายกันไหม”

 

“ฮ่ะๆ น่าสนใจนะครับ” คนฟังคิดตาม “ส่วนหลังบ้าน เลี้ยงปลากันเถอะ ผมอยากลอง”

 

“ต้องขุดบ่อสินะ” เจ้าของไอเดียเริ่มต่อยอด “แล้วสร้างเล้าไก่ เก็บไข่ขาย”

 

“เลี้ยงเป็ดด้วยสิครับ” คนอาศัยเสนอ

 

“ไม่” ตอบรวดเร็ว

 

คำถามตามมา “ทำไมล่ะ”

 

“ฉันเกลียดเป็ด มันเคยจิกฉันตอนเด็ก”

 

คนฟังขำพรืด “แต่ไข่เป็ดขายได้ราคาดีกว่าไข่ไก่”

 

“ไม่คือไม่ เลี้ยงแค่ไก่พอ”

 

การพูดคุยยาวออกไป จินตนาการถึงสิ่งที่เป็นไปได้อย่างไม่รู้เบื่อ…แม้ภายนอกจะต่างกันเพียงไหน หากทั้งคู่เพิ่งรับรู้โดยไม่ต้องพูดออกมา ว่าต่างก็ปรารถนาชีวิตเรียบง่าย…

 

ชีวิตที่ใครๆ ก็สร้างได้…แต่สำหรับพวกเขา ดูจะเป็นเรื่องห่างไกลเกินตัว

 

เพราะภาระซ่อนเร้นที่มีอยู่…

 

———

 

 

เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เมื่อรถ 4WD คันโตจอดลงที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง ในบริเวณรอยต่อระหว่างเขตเหนือกับเขตกลางของเมืองเรเวน

 

เนเว่ลงจากรถมาก่อนแล้วตรงเข้าไปในอาคาร วาสโก้นั่งคอยอยู่ประมาณห้านาที อีกฝ่ายถึงกลับมาพลางส่งสัญญาณให้ปลดสินค้าที่บรรทุกมาลงจากหลังคารถ หนุ่มใหญ่จัดการแบกกระสอบใบโตเข้าไปในร้าน

 

เพราะเป็นช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิ แดดจากหน้าต่างจึงสว่างพอจนไม่ต้องเปิดไฟ ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้รูปแบบย้อนยุค แม้จะเก่าแต่สลักเสลาอย่างสวยงาม…เนเว่กำลังยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เธอมีเส้นผมสีบรูเน็ต นัยน์ตาอำพัน ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน…เดรสวันพีชสีดำผ่าข้าง ขับให้เรือนร่างระหงน่ามอง

 

“ผมขออนุญาตแนะนำนะครับ วาสโก้ นี่คือลินดา เธอเป็นเจ้าของร้านรับซื้อของเก่ารวมไปถึงของป่า” เนเว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ลินดาครับ นี่คือวาสโก้ คนที่ผมอาศัยอยู่ด้วย”

 

“หืม…” เสียงหวานเอ่ยจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีนู้ด “อาศัยอยู่ด้วยนี่…แบบไหน”

 

เนเว่เม้มปาก ทว่าเมื่อกำลังจะพูด เสียงหนึ่งกลับขัดขึ้นเสียก่อน

 

“เป็นหัวหน้างานน่ะครับ เจ้าหมอนี่มารับจ๊อบเฝ้าที่ดินกับผม เลยให้พักอยู่บ้านเดียวกัน” วาสโก้อธิบาย สบสายตากับสาวงาม

 

…ลินดาคือนางฟ้าชัดๆ…

 

“อย่างนี้นี่เอง” คนสวยยิ้วพราว ก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ “ว่าแต่ หนุ่มน้อยของฉัน วันนี้มีอะไรมาเสนอจ้ะ”

 

เนเว่พยายามไม่ใส่ใจสายตาของวาสโก้ที่มองลินดา เขาแกะเชือกผูกปากกระสอบ หยิบกะโหลกกวางอันใหญ่ออกมาวางบนโต๊ะกลางร้าน

 

“ผมเห็นว่าสภาพของมันสมบูรณ์ดี เหมาะจะเอาไปขายต่อ ทำของตกแต่งบ้าน” มือเล็กลูบไปตามกิ่งเขา “เขาของมันไม่หักเลยแม้แต่กิ่งเดียว ชอบไหมครับ”

 

ลินดามองประเมิน กรีดนิ้วเรียวตามมือขาวอย่างพอใจ “ชอบสิ เธอรู้ใจฉันเสมอเลยเนเว่”

 

“งั้นขอราคาแบบเอ็นดูผมด้วยนะครับ” หนุ่มน้อยออดอ้อน

 

และสาวงามก็ตอบรับด้วยการยกมือโอบบ่า “แน่นอน เด็กคนนี้นี่…ทำอย่างกับฉันเคยให้ราคาต่ำ เอ้า มีอะไรอีก เอาออกมาขายให้หมด”

 

“ได้เลยครับ” เจ้าตัวค้นในกระสอบกุกกัก “นี่กระดองเต่า สภาพสมบูรณ์เหมือนกัน น่าจะเอาไปขายที่ไชน่าทาวน์ ส่วนนี่เป็นกะโหลกกวางตัวเมีย—–

 

เนเว่ค้นสินค้าออกมาขาย เสียงนุ่มเอ่ยบรรยายสรรพคุณเชิญชวนให้เจ้าของร้านคนงามซื้อสินค้า

 

ลินดาฟังข้อเสนอด้วยหู ตอบรับด้วยวาจา…หากสายตาเบนไปยังอีกคนบ่อยครั้ง

 

เพราะเนเว่ง่วนอยู่กับการขาย วาสโก้จึงมองสาวสวยได้ไม่วางตา

 

และรู้ดีว่าเธอสนใจเขาอยู่ไม่น้อยไปกว่ากัน

 

———

 

 

“ลินดา…ทั้งสวยและมีเสน่ห์เนอะครับ”

 

วาสโก้ละสายตาจากถนนไปทางคนนั่งข้างวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตั้งใจขับรถต่อ “ใช่ เธอสวยมากจริงๆ”

 

เนเว่มองสมาร์ทโฟนในมือที่แจ้งยอดเงินเข้าบัญชี กะโหลกกวางและกระดองเต่าที่เขาเก็บมาจากในป่า ลินดารับซื้อเอาไว้จนหมด  “ใจดีด้วย…เหมือนนางฟ้า ผมนับถือเธอมากด้วยล่ะ”

 

คนฟังเริ่มจับความรู้สึกได้ลางๆ…เด็กนี่รุกเข้าหาคนอื่นได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เวลาหึงหวงกลับขี้ขลาด

 

“กลัวฉันจะจีบเธอหรือไง” วาสโก้เอ่ยออกไปตรงๆ

 

ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันก่อนเอ่ย “…ขอได้ไหมครับ…ว่าอย่า”

 

คำอ้อนวอนนั้น ปลุกความอยากรังแกในใจ “นายคิดว่าตัวเองมีสิทธิห้าม…”

 

“ไม่มีครับ” เนเว่เอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่มี…ผมไม่มีสิทธิจะผูกมัดใครไว้”

 

รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนมุมปากของวาสโก้

 

เด็กนี่หึงหวงเขา แต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวจะถูกโกรธ…หลงรักเขามากกว่าที่คาดไว้เสียอีก

 

ให้ตายเถอะ…เขาพอใจเหลือเกิน

 

วาสโก้กดความยินดีเอาไว้ขณะยื่นมือไปจับศีรษะเล็กอย่างคุ้นชิน  “คิดมากน่า…เชื่อใจฉันได้ไหม”

 

เนเว่พยักหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ

 

TBC

 

 

 

 

 

10.

 

หลังการทำงานในช่วงเช้าถึงบ่าย วาสโก้ขับรถ ATV กลับมาบ้าน อากาศเริ่มอุ่นขึ้นจนทำให้เหงื่อซึมทั่วเสื้อยืด เขาเก็บรถเข้าโรงจอด ถอดเสื้อออกมาพาดไหล่ขณะเดินเข้าบ้าน

 

วันนี้เนเว่หยุดพัก จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการแกะสลักไม้ เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่เจ้าตัวภูมิใจว่าสามารถสร้างรายได้อีกทาง เขาวางมือเมื่อเห็นวาสโก้

 

“ดีจังที่คุณกลับมาไว” บอกพลางยันตัวลุกจากพื้น บิดแขนไปมาอย่างเมื่อยขบก่อนจะตรงไปยังห้องครัว กดน้ำเย็นจากตู้มาส่งให้เจ้าของบ้านดื่ม

 

“มีอะไร” ถามพลางลงนั่งบนเก้าอี้ในครัว รับแก้วมาจิบน้ำ

 

เนเว่หยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดข้อความหนึ่งแล้วยื่นหน้าจอให้ดู “ปิแอร์มาทวงนัดเลี้ยงเบียร์น่ะครับ บอกให้ไปเอาเอกสารเรียนต่อด้วย”

 

เพราะการช่วยเหลือของลินดา ฐานะการจับจ่ายของเนเว่จึงคล่องมือขึ้นอย่างมาก เจ้าเพื่อนบ้านผิวแทนก็เหมือนรู้งาน รีบทักมาหาเพื่อเบียร์ฟรี

 

“เขาชวนคุณไปด้วย จำได้ไหมครับ”

 

“อืม…” วาสโก้พยักหน้า ลังเลระหว่างเบียร์ที่ร้านกับการไม่ต้องฝืนใจไปนั่งคุยกับคนไม่สนิท

 

“ผมว่าจะแวะเอาของที่อพาตเมนก่อน ไปเยี่ยมพ่อ แล้วถึงไปเจอปิแอร์”

 

วาสโก้ตัดสินใจได้ทันที “ฉันไม่ไป”

 

“อ้าว…” หนุ่มน้อยแสดงอาการผิดหวัง “แต่โอเค ผมไปคนเดียวได้”

 

“อืม ฉันเหนื่อยน่ะ” อันที่จริงแค่ไม่อยากไปพบหน้าผู้ปกครองของอีกฝ่าย…เขายังไม่พร้อมกับการถูกผูกมัด…

เนเว่พอจะอ่านออกว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร จึงไม่เซ้าซี้ต่อ เขาเดินไปกอดรอบคอวาสโก้ “งั้นพักผ่อนนะครับ อ้อ ผมขอยืมมอเตอร์ไซด์ในโรงจอดได้ไหม”

 

“ขึ้นคร่อมแล้วขาถึงพื้นเหรอ” ถามพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน

 

“ใหญ่กว่ามอเตอร์ไซด์ผมก็คร่อมมาแล้ว” โต้กลับพร้อมจูบสันกรามแกร่งเบาๆ “นะครับ…ขอยืมหน่อย”

 

“ให้ฉันไปรับกลับดีกว่า” เจ้าของพาหนะไม่เต็มใจนัก เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไปล้มกลิ้งอยู่ริมทาง

 

“คุณเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” นิ้วขาวเกาบ่ากว้างคล้ายจะข่วน

 

…เสร็จกัน…ไม่น่าอ้างมั่วๆ เลย วาสโก้ถอนหายใจ

 

“กุญแจมอเตอร์ไซด์อยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียง”

 

เนเว่ขอบคุณด้วยการจูบเบาๆ ที่ข้างแก้ม หากวาสโก้หันไปประกบปากแนบแน่นแทน สองคนแลกความวาบหวามอยู่หลายอึดใจ ก่อนเนเว่จะผละออกมา…ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากแดงก่ำคล้ายเสียดาย

 

คนถูกทิ้งไว้มองตาม…นึกในใจว่าถ้าจูบนานกว่านี้อีกฝ่ายคงต้องเลื่อนนัด

 

หนุ่มน้อยเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม เขาชูกุญแจให้เจ้าของบ้านดูแล้วเดินออกทางหลับบ้าน ห้านาทีต่อมา เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซด์ห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินในที่สุด

 

วาสโก้เปลี่ยนที่นั่ง เอนแผ่นหลังลงกับโซฟา…หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดแล้วปิด…หยิบเครื่องเกมขึ้นมา…แล้ววางลง

 

เขาไม่ได้อยากตามหมอนั่นไปหรอก เขาแค่อยากดื่มเบียร์…แถมโรงเบียร์ในเรเวนมีเพียงแห่งเดียว คงบังเอิญเจอหมอนั่นกับเพื่อน…

 

หาข้ออ้างให้ตัวเองได้ หนุ่มใหญ่ลุกขึ้น เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วคว้ากุญแจรถออกจากบ้าน

 

———

 

 

ขับรถออกมาได้พักหนึ่ง ถึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวโง่อย่างไรชอบกล…

 

วาสโก้เดาะลิ้น เขาไม่รู้ว่าพ่อของเนเว่อยู่ที่ไหน ไม่สนใจจะถาม ดังนั้นทางเดียวที่เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไปที่ไหนบ้าง คือต้องไปดักหน้าอพาตเมนต์ให้ทัน คิดได้แค่นั้นก็กระทืบคันเร่ง ซิ่งเข้าเมือง

 

โชคดีที่ตัดสินใจถูก มอเตอร์ไซด์จอดอยู่หน้าอพาตเมนต์สี่ชั้น เขามาถึงก่อนเนเว่จะไปที่อื่น หนุ่มใหญ่ถอยรถไปแอบที่มุมตึกฝั่งตรงข้าม…คงเสียฟอร์มแย่ถ้าหมอนั่นรู้

 

ประตูสีฟ้าอ่อนเปิดออก เจ้าของห้องเดินออกมา…ด้วยรูปลักษณ์แปลกตาจนจำแทบไม่ได้

 

เนเว่เสยผมขึ้นด้วยเจล สวมแว่นกันแดดทรง aviator เลนส์เข้มช่วยพรางดวงตาได้ดี เจ้าตัวสวมเชิ้ทสีดำ ทับด้วยสูทสีเทาไม่ติดกระดุม คาดเข็มขัดหัวเหล็กกับกางเกงยีนส์ขัดสี สวมรองเท้าหนัง…แม้รูปร่างจะเพรียวดังเดิม แต่บรรยากาศรอบตัวดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลายปี

 

ยิ่งยามที่ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์…วาสโก้เจ็บใจที่เจ้าตัวดูเซ็กซี่…ในขณะที่ไม่ได้อยู่กับเขา

 

หนุ่มน้อยที่เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ในพริบตาสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป วาสโก้ขับรถตามโดยทิ้งระยะห่างพอควร การสะกดรอยมอเตอร์ไซด์ทำได้สะดวกกว่ารถยนต์ เพราะคนขับมีวิสัยทัศน์ด้านหลังจำกัด

 

เนเว่เลี้ยวเข้าย่านชุมชนค่อนไปทางทิศใต้ของเมือง จอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ทีแรกวาสโก้เข้าใจว่านี่คือบ้านพ่อของเนเว่ แต่กลับไม่ใช่

 

เพราะคนที่เดินออกมาเปิดประตูให้ คือปิแอร์…เจ้าตัวแต่งตัวคล้ายวันที่พบกันครั้งแรก ต่างแค่วันนี้สวมเชิ้ทเนื้อดูดีขึ้นกว่าเก่า

 

เขายังหวังว่าหมอนี่อาจจะมารอที่บ้านพ่อเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น เนเว่ทักทายคนในบ้าน ลักษณะจะเป็นญาติของปิแอร์มากกว่า คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินออกมา

 

วาสโก้หัวร้อนอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเนเว่ยอมให้ผู้ชายอื่นขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์ของเขา…

 

หลังจากบ้านหลังนั้น เนเว่ขับต่อไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าตัวจอดรถแล้วเดินหายเข้าไปพร้อมปิแอร์ ที่จอดรถยนต์ของทางร้านเต็มแล้ว วาสโก้จึงต้องหาที่อื่น และได้จอดบริเวณมุมตึกถัดไปอีกสามร้าน

 

คนตามมายังหวังอยู่ว่าร้านนี้อาจจะเป็นกิจการของพ่อเนเว่…แต่ก็ไม่เป็นตามนั้น เพราะเมื่อเขาลอบมองจากนอกหน้าต่าง เจ้าตัวและเพื่อนเริ่มสั่งอาหารกัน

 

อาจจะเป็นการนัดเลี้ยงเพื่อนฝูงแบบธรรมดา…

 

เนเว่มีรูปลักษณ์ที่แปลกไป แต่รอยยิ้มยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เจ้าตัวไม่มีท่าทีเกินเลยกับปิแอร์ เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่เพื่อน

 

ทว่าความสบายใจของวาสโก้อยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อบุคคลที่สามมาถึง

 

ผู้ชายในชุดสูทดำเดินมาแตะบ่าเล็ก เนเว่หันไปแล้วยิ้มอย่างสุภาพให้ อีกฝ่ายวางกระดาษแผ่นเล็กลงตรงหน้า…ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดทำให้คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก แต่รอยยิ้มนั้นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย…เย็นชา

 

มือขาวจัดดันกระดาษนั้นออกจากตัวเป็นเชิงปฎิเสธ ชายสูทดำไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคือง เพียงแค่เก็บกระดาษใส่อกเสื้อ พูดคุยอีกสองสามประโยคแล้วเดินจากไป

 

ความมีลับลมคมในนั้น วาสโก้ทดเอาไว้อย่างเงียบงัน

 

หลังจากนั้นอาหารมาถึง เนเว่และปิแอร์ลงมือกินพลางคุยเล่นกัน เสียงหัวเราะของทั้งคู่ผสมกลมกลืนไปกับแขกโต๊ะอื่น ไม่สามารถจับใจความอะไรได้

 

จนอาหารหมด เบียร์สี่ขวดจึงมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ…และยังมีขวดต่อๆ ไปทยอยมา เพราะปิแอร์ซดอย่างไม่เกรงใจ เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ

 

วาสโก้หมดความอยากดื่มเบียร์ เขาเดินกลับขึ้นรถเมื่อรู้สึกว่าอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์

 

ไว้รอถามเจ้าเด็กโกหกตอนกลับบ้าน…น่าจะสาแก่ใจกว่า

 

———

 

 

โทรศัพท์บ้านแผดเสียงดังลั่น มือใหญ่คว้ามันไว้ทันควันไม่ยอมพลาด

 

“สวัสดีครับ”

 

แล้วต้องยิ้มออกมา เมื่อพบว่าปลายสายคือคนที่รอเสมอ…

 

‘ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ’ ไม่ใช่เสียงสดใสของหญิงสาว หากเป็นเสียงนุ่มนวลที่ถูกบ่มเพาะด้วยวันเวลายาวนาน ‘ครั้งก่อนโทรมา ดูเหมือนสายจะหลุดไปก่อน’

 

“พายุทำให้เสาไฟกับเสาโทรศัพท์โค่นลงมาน่ะครับ” วาสโก้ตอบด้วยความสุภาพ สำเนียงอ่อนลงอย่างไม่เคยใช้สนทนากับใครอื่น “ขอโทษด้วยที่ไม่ได้รับสาย”

 

‘ฉันทราบเรื่องจากโรซาเลียแล้ว เหตุสุดวิสัย ใครจะโทษเธอกัน’ แม้แต่เสียงหัวเราะหยอกยังฟังสูงศักดิ์ ‘ที่โทรมา…เพราะมีเรื่องติดใจอยู่’

 

คนฟังขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรหรือครับ”

 

หญิงสูงวัยเงียบไปอึดใจ ก่อนเอ่ย ‘ตอนนี้เธออยู่กับใครหรือเปล่า’

 

วาสโก้เผลอกลั้นหายใจ “…ไม่ครับ…ผมอยู่คนเดียว”

 

ไม่ถือเป็นคำโกหก เพราะตอนนี้ทั้งบ้าน มีเขาเพียงคนเดียว

 

‘อย่างนั้นเหรอ’ เสียงปลายสายคล้ายจะพึงพอใจ ‘ดีแล้ว…ฉันจะได้หมดห่วง’

 

“อยู่ๆ ถามเรื่องนี้ทำไมเหรอครับ” ชายหนุ่มถามกลับบ้าง

 

‘ช่วงนี้มีคนน่าสงสัยมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ คนในตระกูลเรา’ เธอทอดถอนใจเสียงฟังชัด ‘ระวังตัวด้วยล่ะ…นี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉันไม่สบายใจเอาเสียเลย’

 

วาสโก้พยักหน้าแม้อีกฝ่ายไม่เห็น “…ผมพร้อมจะไปอยู่ข้างๆ เสมอ ถ้าคุณและนายท่านต้องการ”

 

‘แล้วฉันจะติดต่อมาแน่นอน’

 

การสนทนาจบลงแค่นั้น หูฟังถูกวางคืนลงกับเครื่อง

 

‘เธอ’ ไม่เคยพูดคุยทางโทรศัพท์ยาวนาน แต่ทุกถ้อยคำนั้นเปี่ยมความหมายต่อเขาเสมอ

 

และเป็นเธอเท่านั้น ที่เขาจะรับใช้อย่างภักดีเรื่อยไป

 

…ดังนั้น หากมีใครต้องสงสัย เขาพร้อมจะกำจัดออกไป…แม้แต่คนที่นอนกอดอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกันทุกคืน…

 

TBC

เนเว่หนีปายยยยยยยยยยยย หนีปายยยยยยยยยยย (;{};

 

[Novel] Be[lie]ve. – 7&8

17-05-25-16-54-09-868_deco

 

เปลี่ยนภาพเปิด ในเรื่องฤดูใบไม้ผลิแล้วค่ะ ,,- -,,

ตอนก่อนๆ

7.

 

ฤดูใบไม้ผลิมักจะถูกตั้งให้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่อันสวยงามเสมอ…

 

หิมะที่เคยหนาท่วมไปทั้งเนินเขากว้าง เริ่มละลายและซึมลงสู่ผืนดิน แม้อากาศจะยังเย็น หากมีแสงแดดสว่าง

 

วันนี้วาสโก้มีแพลนจะพาเนเว่ไปยังเมืองเรเวน หลักๆ เพื่อไปนำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวมายังบ้านไม้ซุงแห่งนี้ ในฐานะคนเฝ้าที่ดินคนใหม่ เขาตื่นมาลองเครื่องรถยนต์ 4WD แต่เช้า แล้วนึกขอบคุณที่มันยังสตาร์ทติด ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้รถมอเตอร์ไซด์หรือรถ ATV ฝ่าลมเย็นไปแทน

 

“จะไปหรือยัง”

 

เจ้าของรถตะโกนถามคนในบ้าน ซึ่งรีบโผล่หน้าออกมาทันที หลังตรวจเช็คล็อกประตูเรียบร้อยแล้วจึงเดินมายังรถคันใหญ่…เนเว่มีของติดตัวกลับไปยังเมืองเท่ากับตอนขึ้นเขามา คือเสื้อผ้าที่สวมอยู่ กระเป๋าสะพายหนังใบเล็ก และเสื้อโค้ทพับใส่ถุงที่พอจะหาได้ในบ้าน

 

“ในที่สุด ฉันจะไม่ต้องเห็นเจ้าเสื้อสีฟ้าลายขวางอย่างกับคนคุกตัวนี้ซะที” วาสโก้หยอก ขณะออกรถลงจากเนินเขา

 

คนถูกล้อโต้กลับทันควัน “ผมมีลายนี้อยู่ที่บ้านอีกตั้งหลายตัว เดี๋ยวจะขนมาใส่ให้หมด”  

 

เมื่อเข้าเขตที่สัญญาณต่างๆ ส่งมาถึง วิทยุในรถซึ่งเปิดทิ้งไว้จึงเริ่มส่งเสียงเพลงออกมาจากลำโพง เนเว่ลองหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็คดู ทันทีที่เปิดเครื่องเสียงข้อความมือถือก็ร้องเตือนรัวกระหน่ำ เขาตกใจจนเกือบทำเครื่องหลุดมือ รีบปิดเสียงอย่างลนลาน

 

“เพื่อนเยอะเหมือนกันนี่เรา” วาสโก้ตั้งข้อสังเกต

 

“อา…โฆษณาทั้งนั้นครับ ผมมันคนเพื่อนน้อย” ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ นิ้วขาวไล่ดูทีละข้อความ ลบทิ้งไปบ้าง

 

“แล้ว…” หนุ่มใหญ่กระดากใจกับคำถามในหัว แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา “คนที่เข้าหาล่ะ…แบบเล็งนายเอาไว้”

 

เนเว่หันมามองแบบงงๆ กว่าจะประมวลผลเสร็จ “ไม่มีหรอกครับ คนอย่างผมใครจะอยากเข้าหากัน”

 

คำตอบทำให้คนฟังขมวดคิ้ว “อ้าว…แล้วฉันล่ะ”

 

“เพราะผมเข้าหาคุณก่อนต่างหาก” หนุ่มน้อยหัวเราะคิก “ถ้ามีคนอื่นในที่นั้น คุณอาจจะไม่ชายตาผมเลยก็ได้ ไม่ใช่ว่าคุณรสนิยมแย่นะครับ…แค่ผมไม่ดีพอ”

 

วาสโก้คิดตาม…ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมีสาวสวยหุ่นงามหรือสาวน่ารักอ่อนหวานอยู่ร่วมบ้าน เขาคงไม่มีวันแตะต้องเด็กผู้ชาย…

 

แต่ถึงอย่างนั้น การถล่มตัวเองของอีกฝ่ายก็ควรได้รับคำค้าน “นายไม่ได้แย่เสียหน่อย…ต้องมีเรื่องรักใคร่บ้างสิ”

 

“มีบ้างครับ แต่ว่า…” เนเว่อมยิ้ม เกยคางกับหน้าต่างก่อนพูดต่อ “ถ้าเปรียบคนเราเหมือนสีสัน ผมคงเหมือนสีขาว…ใครมาผสมด้วยก็มีแต่ทำให้เขาจืดจาง ในที่สุดก็เบื่อและจากไปผสมกับสีอื่นเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า…ฟ้ากับเหลืองได้สีเขียว แต่ฟ้ากับขาว ได้แค่สีฟ้าชืดๆ ไม่มีใครอยากดูเสมอตัวหรือแย่ลงหรอกครับ”

 

เจ้าหมอนี่ต้องเคยอกหักแน่นอน วาสโก้สรุปอยู่ในใจ

 

“แต่ฉันชอบสีฟ้าอ่อนนะ”

 

“เอ๊ะ” คนฟังหันมา

 

“บางคนอาจไม่ต้องการอะไรแปลกใหม่นักหรอก” ดูเหมือนเขาจะพูดจาลึกซึ้งได้เข้าท่าดีเหมือนกัน

 

ฝ่ายที่อ้างตัวเองว่าจืดจางอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ ยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้คนข้างๆ “…แล้วจะรอดูนะครับ”

 

เหมือนถูกท้าทายอย่างไรชอบกล คนอายุมากกว่าจึงยกมุมปากรับคำ “อืม รอดูไปด้วยกัน”

 

หลังจากนั้นไม่มีบทสนทนาใดอีก หากความรู้สึกดีอบอวลไปทั่วบรรยากาศ…คำหวานก็คือคำหวาน แม้ไม่ใช่คำสัญญาสาบาน แต่ก็ช่วยหล่อเลี้ยงความหวังในหัวใจ…

 

———

 

 

ในบรรดาเมืองน้อยใหญ่ของภาคพื้นแถบนี้ เรเวนจัดเป็นเมืองที่มีบรรยากาศคึกคักที่สุด รูปแบบอาคารผสมกันระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ข้างอาคารอิฐที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อยรก คือร้านอาหารหรูหราหลังคาสร้างจากโดมแก้ว หรือร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดไฟนีออนจัดจ้านก็อยู่ติดกับร้านขายของชำเก่าโทรม การจราจรค่อนข้างหนาตาเพราะประชากรนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัว มอเตอร์ไซด์ จักรยาน หรือแม้แต่เกวียนเทียมลา…

 

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่วัตถุที่แตกต่าง ฐานะของชาวเมืองก็หลากหลาย…ย่านทิศเหนือของเมืองเต็มไปด้วยคฤหาสน์หรูหรา เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดานายทุนและผู้มีอิทธิพล ในขณะที่ย่านทางใต้นั้นเต็มไปด้วยตึกเก่าโทรม เป็นที่อยู่อาศัยของคนยากจนและบุคคลไม่พึงประสงค์ของทางการ…มีสูงสุดและต่ำสุดย่อมมีกึ่งกลาง บ้านของเนเว่อยู่ในบริเวณนั้น แออัดไปด้วยหมู่ตึกที่ทำการต่างๆ และอาคารสำหรับพักอาศัย

 

รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าจอดข้างกำแพงอิฐแดง แนวกั้นอาณาเขตนี้สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายไร้ประตู้รั้ว ด้านหลังเป็นอพาตเมนต์สูงสี่ชั้น มีระเบียงและบันไดอยู่ด้านนอกตามรูปแบบตึกรุ่นเก่า ประตูแต่ละห้องหลากสีไม่ซ้ำ บ่งบอกว่ามันผ่านการซ่อมแซมและมีผู้อยู่อาศัยมาหลายสิบปี

 

“คุณรอที่รถก็ได้นะครับ ผมขึ้นไปเก็บของไม่นานหรอก” เนเว่กล่าวขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออก

 

“ห้องนายอยู่ไหน” เจ้าของรถถาม กวาดสายตาไปยังอาคารตรงหน้า คะเนด้วยสายตามีประมาณสี่สิบห้อง

 

“ผมว่าคุณเดาได้ไม่ยากนะ” ตอบเสร็จจึงเปิดประตูลงจากรถไป

 

วาสโก้มองตามแผ่นหลังเล็ก…เพราะเท้าปลอมทำให้เดินกะเผลกนิดๆ ตลอดเวลาเหมือนหุ่นกระบอกชอบกล ผู้อยู่อาศัยชั้นล่างทักทายเมื่อเห็นเจ้าตัว เนเว่หยุดแวะแล้วคุยด้วยสองสามประโยค ก่อนจะโบกมือขอตัวแล้วเดินขึ้นบันไดไปทีละชั้น

 

วาสโก้ยิ้มบาง เมื่ออีกฝ่ายเลี้ยวเข้าระเบียงชั้นสามและหยุดที่ห้องแรกซึ่งมีประตูสีฟ้าอ่อน เจ้าของห้องหันมาโบกมือให้เขา ก่อนจะหายเข้าไป

 

เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที ประตูสีฟ้าจึงเปิดออก เนเว่สะพายกระเป๋าหนังใบเดิม เพิ่มเติมคือเป้ใบใหญ่เกินตัวบนหลัง อีกฝ่ายเดินลงมาจากบันได แวะทักทายคนรู้จักที่ชั้นสองแล้วลงมาต่อ แวะคุยกับคนที่เข้ามาหาอีกครั้งก่อนออกจากใต้อาคาร…เรื่องที่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนน้อยดูจะไม่เป็นความจริงเท่าไหร่

 

วาสโก้ยืนยันความคิดตัวเองอีกครั้ง เพราะก่อนเจ้าตัวเล็กจะเดินมาถึงรถ มีหนุ่มผิวแทนคนนึงเข้ามากอดคออย่างสนิทสนม คุยกันชุดใหญ่ จนเนเว่ทำท่าขอตัวก็ยังไม่ยอมปล่อย แถมเดินตามมาถึงรถ

 

“ขอโทษที่ช้านะครับ” เพราะเสียเวลากว่าที่คิด จึงส่งยิ้มแห้งๆ ให้ “ส่วนนี่ ปิแอร์ เพื่อนของผมครับ”

 

“ฮายยยยยยย” คนถูกแนะนำยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว เจ้าตัวเป็นหนุ่มผมทองตาสีเขียวด้วยเลือดคอเคซอยด์เต็มขั้น ผิวแทนนั้นคงเกิดจากการอาบแดด “เมื่อกี้ผมเพิ่งกลับมา เห็นรถไม่คุ้นเลยมองๆ อยู่ ที่แท้มากับหมอนี่”

 

“สวัสดี” วาสโก้ตอบรับสั้นๆ ไม่คิดจะใช้คำสนิทสนมด้วย เขาเลี่ยงการสนทนาด้วยการหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม

 

ดูเหมือนปิแอร์จะไม่ถือสากับท่าทีห่างเหินนั้น เขาเขย่าตัวเพื่อน “สุดหล่อคนนี้เป็นอะไรกับนาย แนะนำหน่อยสิ”

 

“เอ่อ…” เนเว่หัวสั่นขณะคิดว่าควรแนะนำอย่างไร ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “่พ่อฉันเอง”

 

วาสโก้สำลักน้ำพรวด

 

ปิแอร์หัวเราะลั่น ยิ่งเขย่าร่างเล็กแรงกว่าเดิม “อย่ามาโกหกกันนะเจ้าพิน็อคคิโอ้! พ่อนายไม่ได้หน้าตาแบบนี้ ถึงดูแล้วจะรุ่นลุงพอกันก็เถอะ”

 

วาสโก้คิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในวัยที่จะเรียกว่าลุง…นะ

 

“ล้อเล่น เขาเป็นหัวหน้าของฉันต่างหาก” แต่งตั้งตำแน่งให้พลางแกะแขนเพื่อนออกจากตัว “ฉันจะไปทำงานกับเขาบนภูเขา อาจจะไม่ค่อยได้กลับ ฝากนายดูห้องด้วยได้ไหม”

 

“อ้าวๆ ฝากฝังกันแบบนี้ ต้องคิดค่าแรง” อีกฝ่ายยอมปล่อยมือ ช่วยเปิดประตูและยื่นแขนให้เพื่อนใช้เป็นหลักยึดตอนตะกายขึ้นรถคันใหญ่ “วันไหนว่างต้องมาเลี้ยงเบียร์สี่ขวดที่บาร์ ตกลงไหม”

 

“ได้” เนเว่ตอบรับ

 

“คุณหัวหน้าก็มาด้วยนะครับ เราจะได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้” ปิแอร์เกาะขอบหน้าต่าง ทำตัวเป็นกันเองทั้งที่เพิ่งจะพบหน้า

 

แน่นอนว่าวาสโก้ไม่ตอบ เขากดปุ่มเลื่อนปิดกระจกไฟฟ้า ไล่ให้หนุ่มผิวแทนชักมือออก

 

เนเว่โบกมือให้เพื่อนที่ยืนส่ง จนรถเลี้ยวตรงมุมถนนจึงหันมา “ปิแอร์อาจจะเอะอะไปบ้าง แต่เขาเป็นคนดีนะครับ”

 

คนฟังไม่มีท่าทีอยากรับรู้ แต่เปลี่ยนไปประเด็นคาใจแทน “…ฉันอายุเท่าพ่อนายเหรอ”

 

นัยน์ตาสีฟ้ากะพริบถี่ ก่อนจะหัวเราะก๊าก “ติดใจเรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”

 

“ไม่ได้หรือไง” คนขับขมวดคิ้ว แกล้งเข้าโค้งแรงๆ ให้คนนั่งข้างหัวโขกหน้าต่าง

 

เนเว่กุมหัวร้องโอย แต่ยังไม่เลิกขำ “ไม่เท่าครับ พ่อผมปีนี้อายุห้าสิบห้าแล้ว แก่กว่าคุณทั้งเยอะ แล้วคุณเองก็ยังไม่ถึงวัยลุงสักหน่อย”

 

“จริงเหรอ…” ถามย้ำแบบไม่แน่ใจ

 

“รับประกัน วัดจากรสนิยมคนชอบลุงของผมเลย”

 

วาสโก้ยื่นมือไปขยี้ผมขาวๆ นั้นอย่างหมั่นเขี้ยว

 

“ว่าแต่…เดี๋ยวเราต้องไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันนะครับ ปกติคุณชอบที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า” ถามพลางค้นในกระเป๋าหนัง หยิบกระดาษโน้ตซึ่งจดรายการของจำเป็นเอาไว้ขึ้นมา

 

“ไม่…ปกติฉันแทบไม่ซื้อของเอง” คิดอยู่อึดใจก่อนพูดต่อ “ไปเรเวนมาร์ทแล้วกัน เป็นทางผ่านกลับบ้านพอดี”

 

“อือฮึ…” เนเว่พยักหน้า “แล้ว…ก่อนหน้านี้ตุนเสบียงยังไงเหรอ”

 

“คนรู้จักจัดการให้ คอยซื้อแล้วส่งมา” นิ้วใหญ่เคาะเป็นจังหวะบนพวงมาลัย ขณะรอให้ไฟแดงเปลี่ยนสี “นายจำสายที่โทรเข้าบ้านได้ไหม นั่นล่ะ”

 

“ผมอาจจะจุ้นจ้านเกิน…” สายตายังจับจ้องอยู่บนกระดาษ หากความสนใจพุ่งไปยังคนที่ไม่ได้มองหน้า “แต่ถามได้ไหมครับ…ว่าคือใคร”

 

วาสโก้เงียบไปอึดใจก่อนตอบ “โรซาเลีย…เมียเก่าฉันเอง”

 

เนเว่ตอบรับเบาๆ ในลำคอ “มิน่า คุณถึงได้โมโหตอนพลาดรับสาย”

 

“ประมาณนั้น” คนมีอดีตแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ฉันแค่หัวเสียเพราะการสื่อสารอย่างเดียวบนภูเขาดันใช้การไม่ได้…กังวลว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินอะไรจะลำบาก”

 

“อย่างนี้นี่เอง”

 

เสียงรับรู้นั้นบ่งบอกว่าโล่งใจ คนพูดพลอยรู้สึกดีขึ้น

 

คิดถูกแล้วที่เขาไม่ได้บอกความจริงไปทั้งหมด…ว่าสายที่โทรมา ไม่ได้มีเพียงโรซาเลีย

 

“เอารายการมาดูหน่อย”

 

เพราะรถติดนานกว่าที่คาด วาสโก้จึงแบมือขอกระดาษโน้ตมาเช็คบ้าง เนเว่ส่งให้ แต่หางตาคนขับเห็นกระดาษอีกใบยังคงอยู่บนมือบาง

 

“นั่นอะไร” คนตัวใหญ่ถามบ้าง

 

“อ๋อ…เศษขยะน่ะครับ ปิแอร์ชอบแกล้งเอามายัดใส่กระเป๋ากางเกงผมอยู่เรื่อย”

 

มือเล็กยื่นมาให้ดู บนเศษกระดาษขอบเปื่อยนั้นมีวงกลมเรียงกันเป็นกลุ่ม เหมือนใครมาฝนดินสอเล่นเอาไว้

 

วาสโก้มองแล้วส่ายหน้า “…วัยรุ่นสมัยนี้ เล่นอะไรกันไร้สาระ”

 

“ฮ่ะๆๆ ผมเองก็เคยแกล้งเอาเปลือกลูกอมไปยัดใส่เป้ของเขาเหมือนกัน บางทีหมอนั่นไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งมดขึ้นเต็มไปหมด แล้วก็—-

 

วาสโก้หรี่เสียงวิทยุลง เพื่อจะฟังเสียงโทนไม่ต่ำไม่สูงเกินไปของคนนั่งข้างๆ เขาไม่ชอบเรื่องไร้สาระ แต่น่าแปลก พอเป็นเด็กคนนี้เล่าเขากลับฟังได้

 

สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถออกตัวอีกครั้ง ในขณะที่เนเว่ยังคงชวนคุยต่อไป…

 

…พลางแอบพับเศษกระดาษที่อ้างว่าคือขยะ ใส่ลงในกระเป๋าสะพายอย่างแนบเนียน

 

TBC

8.

 

น่าแปลก ทั้งที่เวลาทั่วโลกล้วนเป็นมาตรฐาน แต่เวลาบนภูเขาราวกับจะหมุนช้ากว่าปกติ

 

วาสโก้ไม่ยอมเริ่มงานเสียที อ้างว่าอากาศยังหนาว เนเว่จึงต้องคอยเป็นสัปดาห์ จนบ่นว่าจะไปหางานในเมืองทำนั่นแหล่ะ อีกฝ่ายถึงเลิกขี้เกียจเป็นหมีจำศีล

 

อุปกรณ์ที่เก็บไว้ในโรงรถตลอดฤดูหนาวได้ฤกษ์ใช้อีกครั้ง หัวหน้างานแบกกล่องขนาดใหญ่มาเปิดออกที่หน้าบ้าน แล้วเริ่มอธิบาย

 

“นี่คือหมุดปักเขตของตระกูลวอลเธอร์”

 

“วอลเธอร์” ทวนคำก่อนจะเอ่ยต่อ “ตระกูลทรงอิทธิพลของเมืองเรเวนเป็นเจ้าของภูเขานี้นี่เอง”

 

“ใช่” วาสโก้พยักหน้า หยิบหมุดอันหนึ่งขึ้นมาถือ ทำจากโลหะยาวประมาณหนึ่งเมตร “เดิมทีภูเขานี้ครอบครองโดยทางการเมืองเรเวน แต่พวกวอลเธอร์เห็นว่าอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต เลยซื้อเก็บเอาไว้”

 

“ซื้อภูเขาทีละหลายๆ ลูก คนรวยนี่ทำอะไรแปลกเนอะครับ” เนเว่ตั้งข้อสังเกต ลองหยิบแท่งโลหะขึ้นมาดูบ้าง ส่วนตรงข้ามปลายแหลมนั้นถูกตัดขวางเป็นระนาบ ปั๊มตัวอักษร ‘W’

 

“ไม่ได้ซื้อแล้วเสียเปล่าหรอก ตระกูลวอลเธอร์มีกิจการบางส่วนเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ก็อาศัยตัดไม้ในป่าไปผลิตขาย เห็นเจ้านายบอกว่าอยากลองทำเหมืองดู…แต่งานชะงักเสียก่อน”

 

“อือฮึ…” ตอบรับแล้วจึงเริ่มคำถาม “แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”

 

“ปักหมุด” มือใหญ่แทงปลายแหลมลงกับพื้นดิน แท่งโลหะจมลงไปครึ่งหนึ่ง “เพราะอาณาเขตกว้างใหญ่มาก เลยมีคนแอบเข้ามาถอนหมุดทิ้งแล้วยึดเป็นที่ดินตัวเองอยู่บ่อยๆ ถ้าล่าสัตว์ไม่เป็นไรเพราะไม่ใช่สมบัติของตระกูล แต่พวกต้นไม้มักจะถูกโค่น ถางหน้าดินออกแล้วลักลอบปลูกพืช ตั้งแต่ระดับเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงปลูกขายจริงจัง เมื่อปีก่อนฉันไปเจอไร่แครอท…ยึดไปขายได้เป็นร้อยกิโล”

 

“ก็เลยต้องคอยตรวจเช็คแล้วปักหมุดใหม่สินะครับ” เนเว่ทำหน้าเข้าใจ “แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าหมุดหายไปรึเปล่า”

 

“หมุดจะห่างกันจุดละประมาณสามสิบเมตร ช่างรังวัดเป็นคนบุกเบิกเอาไว้ให้ ปักกระจายครอบคลุมทั้งที่ดิน เจอหมุดแรกก็เดินหาไปรอบๆ ถ้าไม่เจอก็ปักอันใหม่ไปเลย”

 

คนฟังอ้าปากค้าง.. “มีหมุดอยู่กี่อันครับ…”

 

“ถ้านับ…มันจะรู้สึกท้อแท้มากเลยล่ะ” วาสโก้ยื่นมือไปจับศีรษะเล็กโยกไปมา “ไม่ต้องซีเรียส งานหลักคือตรวจตราว่าไม่มีใครบุกรุกเข้ามา ส่วนหมุดก็ปักๆ ไปเถอะ”

 

“ครับ…” รับคำแล้วเหมือนจะทำใจได้ เนเว่หยิบหมุดขึ้นมาถือห้าอัน แล้วออกเดิน “ผมไปก่อนนะครับ”

 

“เดี๋ยว” มือใหญ่คว้าไหล่คนออกเดินเอาไว้

 

“อะไรเหรอครับ” หันมาทำหน้าสงสัย

 

“นายคงไม่ได้คิดจะเดินไปหรอกนะ” ถามเสร็จแล้วเดินหายเข้าไปยังโรงจอด

 

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ วาสโก้กลับมาบนรถ ATV คันใหญ่ เขาขับมาจอดใกล้กล่องอุปกรณ์ ดึงกุญแจออกจากรูแล้วยื่นให้อีกคน “ต้องขี่เจ้านี่ไปต่างหาก”

 

เนเว่ทำตาวาว คว้ากุญแจทันที “แบบนี้ให้ผมทำงานชั่วชีวิตยังได้เลย”

 

“ให้มันจริงเถอะ อย่าเบื่อแล้วกัน” คนมีประสบการณ์กับงานไม่รู้จบหัวเราะในลำคอ ก่อนจะนึกอะไรได้อีก “อ้อ ถ้าไปเจอหมุดบางจุดมีเทปสีเขียวพันเอาไว้ แล้วใกล้ๆ ปลูกอะไรอยู่ ไม่ต้องไปยุ่ง นั่นคือของตระกูล นอกนั้นเจออะไรปลูกก็ขุดออกให้หมด”

 

วาสโก้ยกกล่องใบใหญ่ขึ้นวางหลังพาหนะสี่ล้อ นอกจากหมุดจำนวนมากแล้ว ในนั้นยังมีอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับใช้ขุดทำลายอยู่หลายอย่าง เขาปิดฝาแล้วล็อกตัวกล่องเข้ากับรถให้แน่น…ทุกอย่างเรียบร้อย แต่คนจัดการกลับขมวดคิ้ว

 

ความกังวลนั้นไม่รอดพ้นสายตาคนข้างๆ “เป็นอะไรไปเหรอครับ”

 

“ทำอะไรก็ระวังตัวล่ะ อย่าสนุกจนประมาท” ให้พูดตามตรงคือไม่ค่อยไว้ใจ ที่ผ่านมาเหมือนเจ้าเด็กบ้านี่พยายามฝืนข้อจำกัดตัวเองและไม่ค่อยห่วงตัวเองเท่าไหร่ “งานนี้ไม่มีทางเสร็จง่ายๆ ไม่ต้องโหม”

 

เนเว่ฟังแล้วอมยิ้ม…มือเล็กเอื้อมไปแตะแขนใหญ่ “ห่วงผมเหรอ…งั้นจูบลาก่อนไปทำงานด้วยสิ”

 

…ช่างยั่วเสียด้วย

 

คนแก่กว่าก้มลงมาหา จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากเรื่อจางราวกับกลีบดอกอ่อนต้นฤดู

 

“แล้วรีบกลับมาทำมื้อค่ำ อย่าให้ฉันต้องโมโหหิว” วาสโก้ทำเสียงขู่ ตะปบมือกับบั้นท้ายเล็กอย่างหยอกเย้า “นายไปทางตะวันออก เดี๋ยวฉันไปทางตะวันตก เจอกันตอนเย็น”

 

“ไม่ต้องล่ากวางมาแล้วนะครับ” แซวกลับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเบื่อเนื้อกวางแค่ไหน

 

 

เนเว่ปีนขึ้นพาหนะคันใหม่ หันมาส่งยิ้มให้อีกครั้งแล้วบิดคันเร่ง เสียงล้อรถทั้งสี่บดเบียดลงบนพื้นดินที่เริ่มมียอดหญ้าขึ้นมารับแสงแดด วาสโก้ยืนมองจนอีกคนไปไกลแล้ว จึงเดินไปยังโรงจอดเพื่อนำรถอีกคันออกมาใช้งาน

 

ทำงานเช้าตรู่ เลิกงานก่อนค่ำ…ช่างสงบสุขเสียจนคิดว่าฝันไป วาสโก้ถอนหายใจ ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์ของฤดูใบไม้ผลิเข้าไปจนเต็มปอด พร้อมจะเริ่มงานของตนเอง

 

———

 

 

เสียงฮัมเพลงผสมกับเสียงเครื่องยนต์ ก้องไปมาในป่ากว้าง

 

เนเว่อารมณ์ดีเพราะเหมือนได้ของเล่นใหม่ เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถบังคับรถ ATV ได้คล่อง การตรวจตราที่ดินกว้างใหญ่จึงไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย

 

หมุดบอกเขตของวอลเธอร์ยังปักอยู่ตามระยะเดิม มีบ้างที่หายไป ซึ่งอาจจะหายเพราะโดนมวลหิมะฤดูก่อนถมจนไหลไปตามหน้าดิน เดาได้จากหมุดที่ยังเหลือต่างเอนไปทางเดียวกัน

 

มือขาวหยิบค้อนในกล่องเครื่องมือออกมาตอกหมุดที่เอียงให้เข้าที่ เมื่อเสร็จแล้วจึงหันไปสำรวจรอบๆ…เขายังไม่เจอการรุกล้ำที่ดินจากบุคคลภายนอกเลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี

 

ทว่า ขับต่อมาอีกร้อยเมตร จึงได้เจอกับอีกอย่างซึ่งวาสโก้บอกเอาไว้…หมุดที่มีเทปสีเขียวพัน และในบริเวณนั้นมีแปลงพืชอยู่

 

เนเว่เดินลงไปดู…ต้นอ่อนเหล่านี้น่าจะมีอายุไม่เกินสัปดาห์…นี่คงเป็นสาเหตุที่วาสโก้ไม่ยอมเริ่มงานช่วงก่อนหน้า เพราะต้องรอให้คนของวอลเธอร์เพาะปลูกเสร็จ

 

ภูเขาหน้าดินเป็นหินปูนแบบนี้ พืชจึงงอกงามดีเหมาะกับสายพันธุ์…ระยะเวลาเติบโตประมาณหนึ่งปี ต้องอยู่ในที่ที่จะไม่มีใครเข้ามาพบเห็นง่าย

 

เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋า ถ่ายรูปต้นไม้เล็กๆ เหล่านี้…สัญญาณพอมี จึงส่งรูปออกไปได้โดยสะดวก ส่งเสร็จแล้วจึงลบภาพในเครื่องทิ้ง

 

หลังจากนั้นจึงไปถอนหมุดออก ดึงเทปสีเขียวฝังลงดิน…เดินกลับไปที่รถเพื่อเก็บหมุด คว้าพลั่วอันใหญ่ออกมาแทน

 

แล้วลงมือขุดทำลาย ‘ต้นอ่อนฝิ่น’ แปลงใหญ่ ก่อนที่มันจะได้ผลิดอกงดงามพร้อมพิษร้ายในอีกหนึ่งปีข้างหน้า…

TBC

[Novel] Be[lie]ve. – 5&6

17-05-18-17-28-59-790_deco

ตอนก่อนๆจ้า

5.

NSFW

 

หลังเหตุการณ์เกือบเอาชีวิตไปทิ้งของเนเว่ หลายวันผันผ่าน สถานการณ์ในบ้านไม้ซุงนั้นสงบเงียบ ผิดกับพายุด้านนอกซึ่งไม่มีทีท่าจะจบสิ้น

“เพราะโลกร้อน ฤดูกาลมันถึงได้วิปริตแบบนี้”

“แม้จะเป็นต้นเหตุจริง แต่มาพูดถึงโลกร้อนในสภาพถูกแช่แข็งแบบนี้มันดูแปลกเนอะครับ”

เนเว่พูดสิ่งที่คิดขณะโกยขี้เถ้าใต้เตาขึ้นมาดับไฟ แก๊ซหุงต้มหมดไปนานแล้ว เขาจึงต้องทำอาหารโดยการใช้ฟืน แรกๆ ก็ตะกุกตะกักเหมือนลูกเสือหัดเข้าค่าย แต่หลายวันผ่านไปจึงเริ่มชำนาญ

ส่วนวาสโก้ ปากบ่นโน่นนี่ แต่สายตากำลังขมักเขม้นอยู่กับเครื่องเกมในมือ…ในชีวิตเขามีไม่กี่อย่างวนเวียน คืออ่านหนังสือ ออกกำลังกาย และเล่นเกมเรียงอิฐรุ่นโบราณไปเรื่อย

หลังล้างจานเสร็จ เนเว่ปิดเครื่องปั๊มน้ำที่ตอนนี้สลับมาใช้น้ำมันแทนไฟฟ้า ก่อนจะเดินกลับมาที่โซฟา พลางฮัมเพลงเดียวกับเกมของวาสโก้ออกมาเบาๆ

วาสโก้เลิกคิ้ว “รู้รึเปล่าว่าเพลงนี้ชื่ออะไร”

“Korobeiniki เดิมทีเป็นเพลงพื้นบ้านของรัสเซียช่วงศตวรรษที่สิบเก้า เล่าเรื่องการต่อรองสินค้ากันของพ่อค้ากับเด็กสาว อุปมาถึงการเกี้ยวพาราสีน่ะครับ” เนเว่ตอบอย่างคล่องปาก “แต่มาดังไปทั่วโลกในช่วงต้นยุคเก้าศูนย์เพราะเป็นเพลงประกอบเกม Tetris”

“ไม่นึกว่านายจะรู้จักเพลงเททริสลึกแบบนี้” หนุ่มรุ่นใหญ่แปลกใจ

รอยยิ้มซื่อๆ ส่งให้แม้อีกฝ่ายไม่มองมา “เกมอมตะนี่ครับ อีกอย่างถึงผมไม่รู้จัก แต่ฟังเสียงคุณเล่นทุกวันแบบนี้ เป็นใครก็ต้องหลอนจนร้องตามบ้างล่ะ”

“หลอนอะไรกัน” คนชอบเล่นหัวเราะหึๆ “เคยเล่นไหม”

“ไม่เคยครับ บ้านผมจน เล่นแต่ตัวต่อเลโก้ที่มีคนบริจาคมา” ตอบติดตลกแต่เป็นความจริง

“ลองเล่นดูไหม” ถามพลางกดยกเลิก ยื่นเครื่องให้

เนเว่ส่ายหน้า “ผมเล่นไม่เป็น”

“ง่ายจะตาย” วาสโก้กวักมือเรียก ตบที่ว่างข้างตัว “มานี่”

คนอาศัยยอมตามใจด้วยการลงนั่งใกล้ๆ เจ้าของบ้านส่งเครื่องเกมให้ถือ ก้มลงมาสอน

“จะมีบล็อกแบบต่างๆ หล่นลงมาจากด้านบน นายต้องขยับไปวางให้เต็มแถว แล้วแถวนั้นจะหายไป ถ้าวางไม่ลงตัวกองบล็อกจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ชนขอบด้านบนเมื่อไหร่ก็เกมโอเวอร์ สี่ปุ่มซ้ายมือเอาไว้บังคับทิศทาง ปุ่มใหญ่ด้านขวาเอาไว้หมุนบล็อกให้เหมาะกับจุดลง”

มันสนุกตรงไหนครับเนี่ย เนเว่อยากจะถามออกไป “เข้าใจแล้วครับ อืม…”

“อ้อ ลืมบอกให้กดปุ่มสตาร์ท” พูดจบก็ช่วยกดเริ่มเกมให้ทันที

แม้จะเป็นเลเวลเริ่มต้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งลองเกมนี้เป็นครั้งแรกย่อมจะตะกุกตะกัก “นี่ไว้ตรงนี้ นั่นไว้ตรงนั้น…เอ๋ มีบล็อกแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วจะวางราบได้ยังไง เฮ้ย ทำไมกดปุ่มลงแล้วมันตกไว—-จะเต็มแล้ว—เต็มแล้ว…”

“ตายเร็วเป็นสถิติใหม่เลยนะ” วาสโก้กลั้นขำไว้ในใจ “นายมัวแต่มองบล็อกที่หล่นลงมา ไม่ได้ดูด้านข้างที่แสดงบล็อกอันดับถัดไป ซึ่งจะช่วยให้วางแผนล่วงหน้าได้”

“…เมื่อกี้คุณไม่สอนผม” ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงแบบเคืองๆ “แล้วกดหยุดชั่วคราวตรงไหนเหรอครับ”

“ไม่มี” เจ้าของเครื่องตอบ “เกมนี้มันเหมือนชีวิตคน เราต้องดิ้นรนไปเรื่อยๆ ไม่มีเวลาให้พัก…จนกว่าจะตาย”

“ทำไมผมรู้สึกว่าเททริสเป็นเกมน่ากลัวขึ้นมาแล้วล่ะ” เนเว่แบะปาก ส่งเครื่องคืน “ผมอยากลองดูคุณเล่นบ้าง”

“ได้สิ” วาสโก้รับเครื่องมาแล้วกดสตาร์ท “หลักการมันไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความชำนาญและตัดสินใจไว อย่างบล็อกนี้วางแล้วจะกั้นทางลงของบล็อกอื่น ให้พลิกแล้วหลบ—

สองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา เวลาไหลเรื่อยไป

เนเว่เริ่มจะเข้าใจในตัวเกมมากขึ้น ในขณะที่วาสโก้ได้แอบมองและทำความเข้าใจคนข้างๆ ดวงตาที่บอกความรู้สึกอย่างซื่อตรง ความเอาใจใส่ที่สม่ำเสมอ แม้ว่าเขาจะเป็นคนช่วยชีวิตและมีบุญคุณต่ออีกฝ่าย แต่การดูแลนั้นมากเกินกว่าที่เขาทำให้ในตอนแรกเสียอีก

เขาปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียวหลายปี คิดว่าชินชากับความโดดเดี่ยว…แต่พอมีใครสักคนเข้ามา ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตนแค่แกล้งลืมความเหงา

“จะเต็มแล้ว อีกนิดเดียว อีกสามแถวเกมโอเวอร์แน่นอน”

วาสโก้เผลอละสายตาจากเกม รู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงเชียร์หรือแช่งก็ไม่รู้ คนแก่กว่าเดาะลิ้น เขาต้องใช้เวลาแก้เกม จึงกดปุ่มสตาร์ทหนึ่งที หน้าจอเกมนิ่งค้าง

เนเว่ชะงัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “หยุดเกมชั่วคราวได้นี่นา…คุณโกหก”

คนถูกว่าแสยะยิ้มร้ายกาจ “ผู้ใหญ่ก็แบบนี้แหล่ะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะประชด เขยิบออกห่าง

“ฉันแค่อยากจะสอนปรัชญาชีวิตให้เด็กเมื่อวานซืน อย่าเคืองน่า” มือใหญ่เอื้อมไปจับหัวอีกฝ่าย “…ผมนายนุ่มกว่าที่คิดนะเนี่ย”

“เหรอครับ” เนเว่หัวคลอนไปมาตามแรงโยก “สมัยก่อนผมเคยแข็งแล้วก็ชี้ฟูเพราะสระด้วยสบู่ พอเปลี่ยนมาใช้แชมพู เลยดีขึ้นมั้งครับ”

“คนบ้าอะไรสระผมด้วยสบู่” วาสโก้เบ้ปาก ยิ่งขยำขยี้เล่น รู้สึกเพลินกับผมเส้นเล็กลื่นมือ

“ตอนนั้นยังเด็ก อาบน้ำนี่ขอแค่สะอาดก็พอครับ” ตอบพลางเบี่ยงหัวหลบแต่ไม่พ้นเท่าไหร่ “พอโตแล้วถึงเริ่มจะดูแลตัวเอง ใครๆ ก็ชอบคนหน้าตาและบุคลิกดีนี่นา”

“จริง…” บอกพลางพยักหน้า เขารู้ซึ้งเรื่องนี้ดีเลยทีเดียว จากประสบการณ์ที่ถูกเข้าหาเพราะหน้าตาเป็นหลัก จะว่าไป… “นายก็ชอบฉันเพราะรูปร่างหน้าตาใช่ไหมล่ะ”

“…สรุปแล้วเหรอครับว่าผมชอบคุณ” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีจึงกล้าเอ่ยเย้า “รูปร่างน่ะใช่เลยครับ หน้าตาก็ด้วย แต่…อืมมมม ผมชอบคนแก่กว่านี้ อายุห้าสิบขึ้นไป”

อยากจะดุว่าเจ้าเด็กแก่แดด แต่รอยยิ้มบนมุมปากเรื่อสี กลับดึงดูดวาสโก้ให้นิ่งงัน

แม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนเด็กกะโปโล แต่เนเว่ผ่านประสบการณ์มาบ้าง…เขาอ่านสีหน้าออก จับความหวั่นไหวได้ และไม่ลังเลเลยที่จะลองเสี่ยง

มือขาวขยับไปแตะสีข้างร่างใหญ่เบาๆ เพราะรู้ว่านั่นคือจุดที่ไวสัมผัสและไม่ดูโจ่งแจ้งจนเกินไป “แล้วคุณล่ะครับ ชอบสเปคแบบไหน”

เป็นการหยั่งเชิงที่ไม่เลวเลยสำหรับการเล่นกับผู้ใหญ่…วาสโก้ค่อยๆ สอดปลายนิ้วเข้าไปใต้เรือนผมขาวละเอียด หัวเราะในใจเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กหดคอหนี

“ฉันชอบคนอายุมากกว่า ต้องสวย เซ็กซี่ ผิวสีน้ำผึ้ง มีส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน ขาเรียวยาว”

“อกหักซะแล้ว” หนุ่มน้อยยกมือยอมแพ้

“ยอมแพ้ง่ายจริง” วาสโก้หลุดหัวเราะ “เด็กสมัยนี้ไม่มีความพยายามเอาซะเลย”

ประโยคนั้น เรียกรอยยิ้มยียวนได้จากเนเว่ “ผมเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าชิมฟรี”

“หืม…” คนถูกเสนอหรี่ตามอง “กล้าแบบนี้ แน่ใจแล้วรึเปล่า ฉันไม่ชอบถูกผูกมัดหรือเรียกร้อง ชิมแล้วบ้วนทิ้งก็จะไม่รับผิดชอบ”

“ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องการใครมารับผิดชอบหรอกครับ” หรี่ตาตอบกลับคล้ายจะล้อเลียน “่ช่วงนี้พวกเรากำลังว่าง คิดซะว่าเป็นแค่การฆ่าเวลากับอะไรแปลกใหม่ยังได้…”

แม้จะบอกไปอย่างมั่นใจ แต่เมื่อคนตัวใหญ่กว่าขยับเข้าใกล้และโน้มใบหน้ามาหา เนเว่ก็เผลอถอยจนหลังเบียดโซฟา

วาสโก้อ่านไม่ออกว่าเด็กคนนี้ช่ำชองหรือไร้เดียงสา…นั่นทำให้เด็กบ้านี่น่าชิมอย่างที่เจ้าตัวเชิญชวน เขาอยากจะลองว่าตนเองได้แค่ไหนกับเด็กผู้ชาย และจะสอนความใจเย็นแบบผู้ใหญ่ให้ จึงไม่รีบร้อนกัดกิน เพียงค่อยๆ ก้มลงไปหาจนหน้าผากแนบติด..มองลูกแก้วสีฟ้าอ่อนคู่นั้นอย่างชิดใกล้

จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวเนื้อขาว มันไม่ใช่กลิ่นนมแบบเด็กเล็ก ไม่ใช่กลิ่นหวานจัดแบบหญิงสาว…เป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

ลมหายใจของเนเว่หนักขึ้นเล็กน้อย สีแดงเรื่อที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวอ่อนชัดเจนขึ้นตามอุณหภูมิร่างกาย

ริมฝีปากสองคน เฉี่ยวชนกันแผ่วจาง…คล้ายหยั่งเชิงก่อนจะเกินเลยไปกว่านั้น

ทว่า โทรศัพท์บ้านแผดเสียงขัดขวางเสียก่อน

ทั้งคู่ผละออกจากกันเหมือนโดนน้ำเย็นสาด เนเว่ผุดลุกขึ้นแล้วเดินหลบออกไปอย่างไว วาสโก้อึ้งเล็กน้อย ก่อนจะได้สติเมื่อโทรศัพท์ดังซ้ำในจังหวะถัดมา เขารีบพุ่งไปยกหูฟัง

ครั้งนี้ไม่พลาดสาย “สวัสดีครับ”

‘พระเจ้า…คุณยังปลอดภัยดี’ เป็นเสียงของหญิงสาว ‘พายุถล่มจนโรงไฟฟ้ากับชุมสายเสีย นานมากกว่าสถานการณ์จะปลอดภัยจนทางการส่งคนไปซ่อมได้ เริ่มจากชุมสายที่แรก ส่วนไฟฟ้าเสียหายเยอะกว่า คงอีกสักพักกว่าจะจ่ายไฟเหมือนเดิม’

“ขอบคุณที่โทรมาหาผมนะ โรซาเลีย” วาสโก้ทอดเสียงนุ่ม รู้สึกตามที่บอก “ไม่ต้องห่วง ต่อให้ไฟดับนานกว่านี้ผมก็อยู่ได้สบาย ด้วยเสบียงที่คุณคอยส่งมาให้”

‘ตอนนี้ซึ้งใจกับความหวังดีของฉันแล้วใช่ไหมล่ะ’ ปลายสายเง้างอน ‘ดังนั้นต่อไปเลิกบ่นเวลารถส่งของไปถึง เสียเวลาแบกเข้าบ้านแต่รอดตายน่ะคุ้มแล้ว’

คนฟังหัวเราะออกมา ปลายสายยังคงชวนคุยต่อไปเรื่อยๆ ชดเชยที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ระหว่างสนทนา เขาเห็นเนเว่สวมชุดกันหนาว เตรียมจะออกไปข้างนอก จึงขยับปากเป็นเชิงเรียก

หนุ่มน้อยขยับริมฝีปากตอบ ‘ออกไปหาฟืนมาเพิ่ม จะรีบกลับมาก่อนเวลาอาหารเย็นครับ’

วาสโก้พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเบนความสนใจมายังคู่สนทนาปลายสายต่อ

———

นาฬิกาบอกว่าเลยเวลาอาหารเย็นไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่เนเว่ยังไม่กลับมา

เจ้าของบ้านกังวล ตอนกลางวันแม้ลมแรงแต่เพราะมีแสงสว่างอยู่จึงไม่อันตรายเท่าไหร่ ต่างกับตอนกลางคืน

แถมครั้งนี้เขายังไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายกลับมาเก็บฟืนเลยสักครั้ง…

เข็มนาฬิกาวนมาครบชั่วโมงอีกรอบ วาสโก้ทนไม่ไหว ผุดลุกขึ้นจะออกไปตามหา

จังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงประตูเล็กด้านหลังเปิดออก

วาสโก้ไม่ชอบความรู้สึกที่รบกวนจิตใจในตอนนี้ เมื่อความกังวลหายไป ความโมโหจึงเข้ามาแทนที่ เขาย่ำเท้าไปยังห้องเก็บฟืน

เนเว่ซึ่งนั่งอยู่สะดุ้งเฮือก รีบวางของในมือเข้าที่ซ่อน รอดสายตาจากเจ้าของบ้านไปอย่างหวุดหวิด เขาตั้งใจจะลุกขึ้น แต่พบว่าขาเย็นเฉียบจนขยับลำบาก จึงได้แต่ส่งยิ้มโง่ๆ กลบเกลื่อน

“หายหัวไปไหนมา” ร่างที่ยืนคับประตูอยู่ถามเสียงต่ำ

“ผม…เอ่อ…” คนถูกถามเอ่ยตะกุกตะกัก ก้ำกึ่งระหว่างหาข้อแก้ตัวและความหนาว “เห็นคุณกำลังคุยเลยไม่อยากอยู่รบกวน…พายุด้านนอกเบาลงบ้างแล้วก็จริง แต่ไม้ฟืนหายากขึ้น ผม—-

ยังพูดไม่ทันจบ ต้นแขนถูกดึงให้ลุกขึ้น เนเว่ร้องออกมาเบาๆ เพราะข้อพับขาคลายตัวไม่ทัน ปวดแปลบจนยืนแทบไม่อยู่

วาสโก้ชะงักกับเสียงนั้น ความโมโหค่อยเบาลง “…นายคิดว่าฉันจะโทรศัพท์ข้ามวันข้ามคืนหรือไง แล้วฟืนน่ะ…มีเหลือใช้แล้ว”

“ก็…” เนเว่ทำท่าจะค้าน แต่เมื่อจนใจจะหาข้ออ้าง จึงพูดออกมาตรงๆ “…อันที่จริงผมกลัวจะทำอะไรขัดใจคุณอีก เลยคิดว่าหลบออกไปให้พ้นๆ ดีกว่า”

เด็กบ้าเอ้ย…คนฟังคิดในใจ

“จะขัดใจฉันเพราะตัวเย็นเฉียบกลับมาอีกแล้วนี่แหล่ะ” มือใหญ่บีบต้นแขนเล็กแน่นขึ้น “หรือว่า…ออกไปแช่แข็งตัวเอง เพราะอยากให้ฉันกอดแบบคราวก่อน”

นัยน์ตาสีฟ้ากะพริบปริบ ก่อนเสียงหัวเราะเบาๆ จะหลุดออกมาจากลำคอ

“อา…มีข้ออ้างแบบนั้นด้วยสินะ ผมนึกไม่ถึงเลย”

“…ไม่ได้คิดแบบนั้นเหรอ” วาสโก้หน้าชานิดหน่อย เขาเข้าข้างตัวเองเกินไป คิดได้อย่างนั้นจึงคลายมือออก

ทว่า…มือเล็กเย็นเฉียบกลับคว้าเอาไว้ไม่ให้ผละจาก

“ถึงจะไม่ได้คิด…แต่ขอใช้เหตุผลนั้นเลยได้มั้ยครับ”

เพราะเป็นที่ต้องการหรือเปล่า ความรู้สึกดีจึงเต้นเร่าอยู่ในท้อง…วาสโก้กลั้นใจ พยายามสรรหาถ้อยคำ “นายแน่ใจรึเปล่า—-

คราวนี้เนเว่ขัดจังหวะแทน “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียวหรอกครับ ขึ้นอยู่กับคุณด้วย…ที่นี่มีแค่เรา ไม่มีคนอื่น ไม่มีพยาน ไม่มีสัญญา…ผมไม่ต้องการข้อผูกมัด แค่อยากทำก็เท่านั้น”

ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่กว่า กลับอึ้งในความคิดของคนที่ยังเยาว์ “…นายอายุแค่นี้…ใช้ชีวิตสุดโต่งเกินไปไหม”

“เพราะมี ‘ความเชื่อ’ อยู่ครับ” ริมฝีปากยิ้มบาง ในแววตาไร้ความลังเล “เชื่อว่าอยากได้หรืออยากทำอะไรควรรีบไขว่คว้าเอาไว้ ชีวิตถึงจะสนุกยังไงล่ะ”

วาสโก้รู้สึกถึงความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาจากภายใน ตามจังหวะของมือเย็นที่เคลื่อนจากต้นแขนขึ้นมายังหัวไหล่ ก่อนจะไล้ลงไปแผ่วเบาตามแผงอกกำยำ

“หิมะมีวันละลาย…” กระซิบด้วยเสียงนุ่มนวล ต่างกับปลายนิ้วที่กดคลึงผิวกายแกร่ง “ดังนั้นควรเล่นสนุก…ก่อนที่มันจะหายไปนะครับ”

หิมะงั้นหรือ…ในห้องเก็บฟืนแห่งนี้ มันหนาวเกินไป

อ้อมแขนใหญ่จึงช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้ม…

“ตัวนายเย็น” วาสโก้เอ่ยเสียงต่ำขณะนั่งลงบนโซฟา เขามองมือขาวสั่นเทาแล้วตัดสินใจช่วยปลดกระดุมเสื้อโค้ทให้…แต่ครั้งนี้เลยเถิดไปถึงการถกเสื้อสเวตเตอร์ตัวในออก

“เดี๋ยวก็อุ่นขึ้นแล้วครับ” เนเว่หัวเราะคิกเมื่อแกล้งซุกมือเย็นๆ เข้าไปใต้เสื้อแล้วอีกฝ่ายสะดุ้ง เขาแอบชื่นชมรอยสักรูปปีกบนแผงอกกว้างด้วยปลายนิ้ว

“ซนนักนะ…” คนถูกแกล้งกัดฟันกรอดและถอดเสื้อของตัวเองออก เขาเอาคืนด้วยการปลดกางเกงร่างเล็ก ขาขาวนั้นเรียวได้รูปเกินกว่าที่เขาคาด หากสะดุดเข้ากับเท้าปลอมข้างขวา “…นี่ต้องถอดด้วยหรือเปล่า”

“รังเกียจคนพิการรึเปล่าครับ” นัยน์ตาสีฟ้ามีแววกังวล

“มันไม่เกี่ยวกับความพิการเสียหน่อย” บอกพลางไล้นิ้วไปตามรอยต่อระหว่างผิวเนื้อ สายรัด และไม้ ค่อยๆ รูดกางเกงออกจนพ้นทาง “แค่ถามว่านายสะดวกแบบไหน”

“เท้านั่น…ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวผม” ร่างที่เริ่มขยับสะดวกเพราะคลายหนาวบ้างแล้วยันตัวลุกขึ้น  ก่อนจะย่อตัวลงหน้าโซฟา “อีกอย่างถ้าไม่มีเท้า…คงทรงตัวลำบาก”

วาสโก้หายใจหนักขึ้นเมื่ออีกฝ่ายนั่งอยู่ระหว่างขา เขาไม่เคยมีอะไรกับเด็กผู้ชายตัวแค่นี้ นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้ตื่นเต้นกว่าปกติ ตอนที่ปลายนิ้วเล็กเกี่ยวขอบกางเกงลงแล้วกอบกุมส่วนกลางเอาไว้ เขาตื่นตัวอย่างง่ายดาย…อาจจะเพราะไม่ได้ปลดปล่อยมานานด้วย…เถียงตัวเองอยู่ในใจ หากความจริงที่เกิดอารมณ์แล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้น…

เนเว่เหมือนเด็กน้อยได้ของเล่น เขารูดคลึงความร้อนนั้นอย่างสนุกมือ มองมันสั่นราวกับหนาวทั้งที่ร้อนจัดดั่งท่อนฟืน แก้มขาวซับสีแดงเรื่อ

“ต้อง…อมไหมครับ” ถามอย่างลังเล

คนฟังขมวดคิ้ว หายใจหนัก “ถามออกมาได้ อยากทำไรก็ทำ”

“งั้นไม่อมแล้วกัน” ตอบพลางยิ้มแหย “ปากผมคงอ้าไม่ไหว”

ไอ้เด็กบ้า…หลอกให้อยากแล้วไม่ทำเสียอย่างนั้น

เหมือนถูกเด็กแกล้ง ผู้ใหญ่จึงหาเรื่องลงโทษ วาสโก้ฉุดแขนเพรียว ดึงให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก พอใจที่ได้เห็นใบหน้านั้นแดงจัดเพราะไม่ทันตั้งตัว…เขาดันท่อนลำร้อนระอุถูไถบั้นท้ายขาว เหนี่ยวเอวเล็กให้แนบเข้ามา รู้สึกถึงท่อนลำขนาดย่อมตื่นตัวเบียดชิดหน้าท้องแกร่ง

“ปากบนไม่ไหว แล้วปากล่างล่ะ” ถามพลางขยับเอวหยาบโลน

เนเว่กลั้นเสียงครางในลำคอ วางมือลงบนบ่ากว้าง…แล้วโยกเอวตอบสนอง “…ต้องทำให้ชื้นก่อนครับ…แล้วก็ มีถุงยางหรือเปล่า”

วาสโก้เดาะลิ้น เขาล้วงมือลงไปในซอกข้างโซฟา คีบซองฟอยด์สีเงินขึ้นมาชูให้เห็น แล้วต้องรู้สึกลำคอแห้งผาก เมื่อเนเว่โน้มตัวมาจูบปลายนิ้วก่อนจะใช้ฟันคาบมุมซองเอาไว้แน่น…ดึงฟอยด์ให้ฉีกออกช้าๆ ยั่วยวนสายตา…

ซองเปล่าหล่นลงพื้น มือใหญ่สวมถุงยางอย่างชำนาญ ตื่นเต้นกับลีลาอันคาดเดาไม่ได้ของเด็กน้อย…น่าอร่อยเสียจนอดใจไม่ไหว

เนเว่เบิกตาเมื่อถูกคว้าต้นคอ ริมฝีปากที่ยังไม่ทันได้แตะต้องเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้แนบประกบอย่างจาบจ้วง…รู้สึกเหมือนถูกกินเมื่อเรียวลิ้นแทรกเข้าหา

ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที ลมหายใจสองร่างร้อนผ่าวจนแทบลวกผิวหน้า ริมฝีปากเล็กเป็นฝ่ายเบี่ยงหลบก่อนเพราะทนไม่ไหวกับความวาบหวามไม่รู้จบ เลี่ยงไปซุกใบหน้าลงกับบ่ากว้าง แอบกัดเบาๆ ข้างลำคอหนาคล้ายต่อว่า

ทว่าการฝังคมเขี้ยว ถูกเอาคืนด้วยการสอดนิ้วใหญ่เข้าไปในช่องทางแน่น…เอวเล็กบิดวน สองมือข่วนแผ่นหลังใหญ่ขณะปรับตัวให้ผ่อนคลาย

วาสโก้ถอนนิ้วออก ใช้น้ำลายเป็นตัวช่วยแล้วเพิ่มเติมเข้าไปอีกหนึ่งนิ้ว… “ลื่นพอหรือยัง”

คำตอบที่ได้คือการพยักหน้ากับบ่า เนเว่ถอนหายใจก่อนจะขยับยืนด้วยเข่าบนโซฟา…แล้วค่อยๆ ลดสะโพก ครอบช่องทางรอบท่อนลำร้อน…

พอเห็นเด็กน้อยเม้มปากคล้ายทรมาน วาสโก้อดไม่ได้ที่จะถาม “ไหวรึเปล่า…”

ริมฝีปากเล็กกระซิบ “ผม…ไม่เคย”

คนฟังเบิกตา…นี่เขาเปิดซิง—

“ไม่เคย…เอากับขนาดใหญ่แบบนี้”

ไอ้…เด็กบ้า…

วาสโก้ชักสงสัยว่าตัวเองต่อว่าเนเว่ในใจไปกี่รอบแล้ว เขายิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเคล้นคลึงและแหวกเนินเนื้อออก กระดกเอวสอดร่างเข้าไปจนเต็มเปี่ยม…เสียวซ่านจนเผลอสูดปาก

เนเว่ร้องลั่น ซบหน้าลงกับบ่ากว้าง จิกแผ่นหลังใหญ่พลางบิดเอว “อย่าขยับ…อย่าแกล้งผม”

“แค่ช่วยให้เข้าที่เข้าทางเร็วขึ้น” ผู้ใหญ่ใจร้ายคำรามในลำคอ “ถ้าไม่รีบทำ เดี๋ยวฉันหมดความอดทนแล้วทำเองนะ”

เสียงประท้วงดังฮือ วาสโก้กัดใบหูคนหนีหน้าเป็นเชิงเร่ง

เหมือนจะปรับตัวได้แล้ว เนเว่จึงเงยหน้าขึ้นจากบ่า หยาดน้ำคลอนัยน์ตา มือเล็กประสานกันอยู่หลังลำคอใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเอวรูดรัดแก่นกายภายในช่องทาง…จากเนิบช้าเป็นเร่าร้อน เอวบางบดร่อนไม่ออมแรง

วาสโก้หอบหนัก สุขสมจนเผลอเลียริมฝีปาก สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายขาวโพลนซึ่งกำลังควบขี่เขาอยู่ เมื่อทนเฉยไม่ไหวจึงกระดกเอวสวนย้ำๆ เนเว่กัดฟันแน่น เข่าที่เป็นหลักยันทรุดฮวบ ซบหน้าลงกับอกกว้าง ท่าทางเหมือนไปต่อไม่ไหว

“ตาฉันบ้าง” พูดพลางเหวี่ยงร่างเล็กลงนอนกับโซฟา

“ผมไม่ชอบท่านี้…” เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ผู้คุมเกม

เสียงค้านส่งไปไม่ถึง แถมถูกจับตรึงทันทีที่ขยับหนี เอวใหญ่แทรกเข้ามากลางหว่างขาเรียว ช่องทางเล็กคล้ายจะประท้วงเมื่อถูกรุกราน แต่ต่อต้านความใหญ่โตไม่ไหว…สองร่างสอดใส่แนบสนิทอีกครั้ง…แล้วเริ่มขยับเร่าร้อนอีกหน

เนเว่ยันแผ่นอกของคนที่ขย่มอยู่บนร่าง หากความวาบหวามทำให้หมดแรงค้ำ วาสโก้ทาบทับร่างเล็กจนมิด กระแทกกระทั้นรัวเร็ว…เสียงหยาบคายดังก้องบ้านไม้ซุง… เขาไล่จูบริมฝีปากร้อนแดงราวกับสัตว์ป่าล่าเหยื่อ บังคับให้ชิมรสชาติของผู้ใหญ่อันแสนมัวเมากามา

แม้จะมีถุงยางกั้น หากสิ่งที่วาสโก้ปล่อยออกมายามถึงจุดหมายยังร้อนจัดแทบลวกภายใน…เนเว่หลับตาแน่น สั่นเกร็งและปลดปล่อยตาม…ระหว่างหน้าท้องกำยำและหน้าท้องเรียบบางจึงเปรอะเปื้อน…

คนตัวใหญ่ผละออกเมื่อหายเหนื่อย…นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองเพดาน…โหวงหวิวเมื่อทุกอย่างจบลง…

ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อถูกช้อนตัวขึ้นอุ้ม

“นายคงไม่คิดจะหลับบนโซฟาหรอกนะ” วาสโก้บอกเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ผมก็นอนตรงนี้ทุกคืน…” เนเว่ย่นคิ้ว

“…โซฟามันเลอะแล้ว ไปนอนบนเตียงกัน” ผู้ใหญ่ให้เหตุผล

“แต่ตัวพวกเราก็เลอะ…” หนุ่มน้อยยังค้าน

วาสโก้หรี่ตา…แล้วออกเดิน

“งั้นไปทำให้เตียงเลอะด้วยแล้วกัน”

TBC

 

6.

หลายวันถัดมา ไฟฟ้าใช้การได้อีกครั้งตามข่าวของผู้ที่โทรมาหา

ทว่า…ดวงไฟในบ้านไม้ซุง กลับไม่ค่อยได้เปิดใช้งานเท่าไหร่…เพราะเจ้าของบ้านและผู้อาศัยไม่ได้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้แสงไฟมากนัก

เกือบเที่ยงแล้ว แต่สองคนยังนอนอยู่บนเตียง เนเว่รู้สึกตัวตื่นก่อน ความหิวทำให้ต้องตะกายออกมาจากใต้ท่อนแขนใหญ่ คว้าเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสวมแล้วเดินด้วยท่าทางขัดยอกไปที่ครัว โชคดีตู้เย็นใช้งานได้ ไม่อยากนึกถึงความลำบากถ้าเขาต้องไต่ลงไปห้องใต้ดิน

เสบียงที่พร่องลงไปมาก ทำให้สามวันก่อนวาสโก้ตัดสินใจออกไปล่าสัตว์ ผู้อาศัยร้องจ๊ากเมื่อเจ้าของบ้านกลับมาพร้อมกวางไร้หัวขนาดใหญ่กว่าตัวเขา นายพรานจำเป็นบอกว่ายิงมันด้วยปืน Smith & Wesson 500 magnum ที่มีอยู่…ปืนรุ่นนี้ทะลวงอิฐบล็อกได้สบาย สภาพเนื้อที่ได้เลยไม่สวยนักจนต้องตัดหัวทิ้ง และแม้การยิงกวางในระยะปืนพกจะเป็นเรื่องอันตราย แต่ในเมื่อคนลงมือตัวใหญ่ปานหมีควาย เนเว่จึงไม่กล้าท้วง…

สตูเนื้อกวางถูกอุ่นจนควันกรุ่น คนทำลงมือกินก่อนโดยไม่รอ เมื่ออิ่มท้องแล้วจึงกลับไปยังห้องนอน

“ตื่นสิครับ ผมอุ่นมื้อเช้าให้แล้ว” เรียกพลางดึงผ้าห่มและผ้าปูที่นอน “จะเอาผ้าไปซัก”

“ฮืม…” วาสโก้ตอบแค่นั้นแล้วทำท่าจะจำศีลต่อ

เนเว่จึงกลั้นใจแล้วดึงสุดแรง กระชากผ้าปูจนร่างใหญ่กลิ้งไปอีกทาง

คนขี้เซายอมลุกในที่สุด มองอีกฝ่ายม้วนผ้าด้วยดวงตาหรี่ปรือ “จะรีบซักไปถึงไหน”

“ตอนนี้เครื่องซักผ้าใช้ได้ ต้องฉวยโอกาสไว้ก่อนสิครับ” ตอบเสร็จจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำที่แบ่งมุมซักล้างไว้มุมหนึ่ง โกยผ้าใส่ถังแล้วชะงัก “เดี๋ยวรอชุดของพวกเราด้วยดีกว่า”

วาสโก้ซึ่งกำลังสวมกางเกงอยู่หันมา “เอาไปเลยมั้ยล่ะ”

เนเว่ปิดตาตัวเอง “…กรุณาไปนั่งกินแบบไม่อนาจารครับ”

“เห็นกันหมดทุกส่วน ตอนนี้ทำมาไม่อยากมอง” ฝ่ายกึ่งเปลือยหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบคางที่รกครึ้มด้วยหนวดเครา ใส่เสื้อเพิ่มอีกตัวก่อนจะเดินออกไปยังครัว

คนตื่นสายค่อยๆ ตักอาหารกินอยู่บนโต๊ะ ในขณะที่อีกคนกำลังง่วนอยู่กับการแบ่งเนื้อกวาง เตรียมจะทำมื้อต่อไป…ผ่านไปครู่นึงวาสโก้จึงกินเสร็จ เขาเดินมาวางจานที่ซิงค์ เนเว่ขยับมาล้างให้โดยไม่ต้องขอ

ช่างเอาใจ…แต่คนได้รับบริการเกิดอยากแกล้งขึ้นมาเพราะหมั่นเขี้ยว เขาจับเอวเล็กแล้วดึงกางเกงให้ลงไปกองที่ข้อเท้า ทำเอาคนล้างจานอยู่สะดุ้งเฮือก

“ทำอะไรน่ะครับ” ถามพร้อมคิ้วขมวดแน่น

“เห็นบอกว่าจะเอาผ้าไปซัก เลยช่วยไง” ตอบพลางยิ้มร้ายกาจมุมปาก

“หลังอาบน้ำต่างหาก” เนเว่บอกแล้วก้มลงดึงกางเกงกลับที่

วาสโก้เดาะลิ้น ขยับเข้าหาทำท่าจะอุ้ม แต่อีกฝ่ายเขยิบหนีไม่ยอมให้แตะ “ไปอาบด้วยกันไง ประหยัดเวลา”

“ไม่เอาครับ ชอบอาบคนเดียว” เพราะยังเมื่อยขบไปทั้งตัวจึงรีบปฏิเสธ

“ไหนบอกว่าอยากทำอะไรต้องรีบทำ รีบตักตวงยังไงล่ะ” คนแก่กว่าแสยะยิ้ม

“ทำทุกวันก็ไม่ไหวนะครับ” ตอบพร้อมเบ้ปากและเดินหนี

กิจกรรมหมีไล่จับกระต่ายจึงเริ่มขึ้น เท้าปลอมส่งเสียงป๊อกๆ กระแทกพื้นแรงกว่าปกติเมื่อเจ้าของวิ่งหนี มีเสียงเท้าจริงไซส์ใหญ่ย่ำตึงตังไล่ตาม

ทว่าอยู่ๆ เนเว่ก็หยุดกะทันหัน วาสโก้เบรกไม่ทันชนเข้าจนเกือบล้มคว่ำ

“อะไร ยอมแพ้แล้วเหรอ” แขนใหญ่รัดเข้าที่ลำคอบาง

“อ๊อก…เดี๋ยวก่อน ฟังสิครับ” นัยน์ตาสีฟ้ามองไปยังหน้าต่างที่ถูกปิด

วาสโก้ลองเงี่ยหูฟัง…จริงด้วย เสียงลมแรงที่โหมพัดมานานเงียบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่เขาลืมใส่ใจดินฟ้าอากาศขนาดนี้เลยเหรอ “พายุหยุดเสียที”

“ไม่ใช่ครับ เสียงจากถนน” คนหูดีกว่าบอกเพิ่ม “เสียงเหมือนเครื่องยนต์รถบรรทุก”

จบคำ เจ้าของบ้านและผู้อาศัยจึงเดินไปยังประตูหน้า คว้าพลั่วออกมาโกยหิมะเปิดทาง ความตื่นเต้นทำให้พวกเขาลืมหนาว

เพราะปลายสายตาไกลลิบ รถกวาดหิมะกำลังกรุยทางเปิดถนนใหญ่ระหว่างเมืองอยู่

“พวกเรารอดตายแล้ว!” เนเว่กำหมัดอย่างดีใจ

“ใกล้พ้นฤดูหนาวแล้วสินะ” วาสโก้ยิ้มออกมา ฤดูกาลอันโหดร้ายที่สุดบนภูเขากำลังจะจบลง

“คิดถึงขนมปังอุ่นๆ คิดถึงผักสดๆ” เพราะกินแต่อาหารกระป๋อง ของแห้งและเนื้อแช่แข็งมานาน จึงโหยหาของสดเป็นพิเศษ “พรุ่งนี้เราไปในเมืองกันไหมครับ”

“ต้องช่วยกันตักหิมะก่อน ไม่งั้นเอารถออกไม่ได้” เจ้าของบ้านบอก “ปีก่อนฉันตักอยู่วันนึงเต็มๆ กว่าจะเปิดทางไปถึงถนนด้านล่าง”

“งั้นเราเริ่มงานกันตั้งแต่วันนี้เลย!” บอกด้วยดวงตาเป็นประกาย

“จะรีบไปไหน…กลับไปเรียนต่อเหรอ” คนแก่กว่าถามเพราะจำได้

ถึงตรงนี้ เนเว่เงียบไป…สูดหายใจ แล้วพูดต่อ

“อันที่จริงเรื่องงานวิจัยที่ผมบอกคุณตอนแรก…ผมโกหกครับ” เสียงสารภาพแผ่วเบาแทบจะกลืนไปกับสายลม “ผมดรอปเรียนเอาไว้เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เลยคิดจะทำงานก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ”

คนฟังไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจอะไร “ถ้าไม่ได้มาวิจัย แล้วนายมาทำอะไรบนภูเขา”

“หาที่สำหรับเล่นสกีกับเพื่อนครับ” พูดพลางยกแขนกอดตัวเอง ชักเริ่มจะหนาว “ผมสมัครงานเอาไว้ที่หนึ่ง มีเวลาว่างก่อนเริ่มงานหนึ่งสัปดาห์ เพื่อนๆ เลยชวนหาอะไรทำฆ่าเวลา แต่จะไปรีสอร์ทสกีโดยเฉพาะต้องใช้เงินมาก เลยตกลงกันว่าพวกเขาจะไปหาอุปกรณ์มือสอง ส่วนผมออกมาหาทำเลเหมาะๆ แต่ละคนเป็นมือใหม่หัดเล่น เลยเลือกแถวนี้ซึ่งเป็นเนินไม่สูง…แต่…ก็อย่างที่เจอ พลัดตกลงมาให้คุณเดือดร้อนต้องเก็บมาเลี้ยง”

วาสโก้ยกมือขึ้นจับหัวอีกฝ่ายโยกไปมา “คนที่เดือดร้อนไม่ใช่ฉันหรอก พ่อแม่นายมากกว่า”

“ตอนโทรบอกโดนสวดจนหูชาเลย” เด็กหลงทางหัวเราะแห้งๆ หลังจากวันที่โทรศัพท์ใช้การได้ เขารีบส่งข่าวให้ครอบครัวคลายกังวลแล้ว

“แล้ว…งานล่ะ” เขาได้ยินอยู่เมื่อครู่ว่ามีระยะก่อนเริ่มงานหนึ่งสัปดาห์ แต่นี่เวลาเกินมาเป็นเดือนๆ

“ผมโทรไปถาม…เขารับคนใหม่มาแทนแล้วล่ะ” บอกด้วยเสียงเศร้าๆ “แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป แค่หางานใหม่อีกครั้ง”

เจ้าของบ้านเงียบไปหลายนาที

ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วพูด  “…นายรู้รึเปล่าว่างานของฉันต้องดูแลพื้นที่กว้างขนาดไหน”

คนข้างกายส่ายหน้า

“ที่ดินนี้เป็นรูปสามเหลี่ยม มีมุมสามมุมคือทิศใต้ตรงที่พวกเราอยู่ ภูเขาลูกนั้นทางตะวันตก และภูเขาลูกนั้นทางตะวันออก”

“กว้างมาก…” เนเว่มองตาม ประเมินด้วยสายตาคงไม่ต่ำกว่าสิบตารางกิโลเมตร

“แล้วคิดว่าฉันคนเดียวดูแลได้หมดเหรอ” วาสโก้ถาม เกาหลังคอก่อนจะพูดต่อ “…เลยคิดจะเสนอเจ้านาย ให้เขาจ้างคนเพิ่มอีกสักคน”

นัยน์ตาสีฟ้ากะพริบปริบ ก่อนจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรจึงยิ้มกริ่มมุมปาก “แบบนี้เรียกว่าอยากให้ผมอยู่ต่อรึเปล่าครับ”

“เสนองานให้ต่างหาก” คนชักชวนยิ้มกลับ “ตกลงไหม”

“ยังไงผมก็ว่างอยู่แล้ว…” คนถูกชวนคิดอยู่อึดใจ ก่อนจะตอบ “ฝากตัวด้วยนะครับ”

“เด็กดี…” วาสโก้ผิวปากอย่างอารมณ์ดี

“ว่าแต่ ต้องเตรียมเอกสารหรือหลักฐานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ—

พูดไม่ทันจบ เจ้าของบ้านคว้าร่างเล็กกว่าขึ้นอุ้ม “ไปอาบน้ำกันดีกว่า”

“เดี๋ยวสิ ยังไม่ตอบผมเลยว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เหวอออ” เนเว่ร้องลั่นเมื่อถูกจับพาดบ่า หัวห้อยไปมา

“ไว้เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

ซึ่งนั่นไม่ใช่คำสัญญา…เพราะวาสโก้ไม่มีคำตอบแน่นอนให้กับการจ้างงานที่อุปโลกขึ้นเอง…

TBC

  • ตอน 5 นั้นติดเรท กรุณาอ่านแบบระวังหลังนะคะ #มาเตือนอะไรตรงนี้ยยยยยย์
  • จะเห็นว่าทั้งคู่…พอกันค่ะ orz คือ โกหกใส่กันทั้งคู่ ไวไฟทั้งคู่ กรั่กๆๆๆ 
  • ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไหร่…ก็…ฝากติดตามด้วยนะคะ ,,- -,,

[Novel] Be[lie]ve. – Ch3&4

17-05-18-17-28-22-167_deco

สารบัญตอนเก่าและรายละเอียดของเรื่อง

3.

ดูเหมือนปีนี้สภาพอากาศจะโหดร้ายกว่าปกติ สามวันเข้าไปแล้ว พายุหิมะยังไม่มีทีท่าจะไปจากขุนเขา

เพราะต้องมีคนอยู่เฝ้าที่ดิน บ้านไม้ซุงหลังนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับสภาพอากาศและความโดดเดี่ยว ภายในจัดวางข้าวของเรียบง่าย ตรงจากประตูทางเข้าคือห้องนั่งเล่น มีโซฟา อาร์มแชร์ ตู้ลิ้นชัก เตาผิงแบบฝังผนัง ฟากซ้ายของบ้านคือห้องนอนและห้องน้ำ ฟากขวาคือห้องครัว ที่พื้นมีห้องใต้ดินและตู้แช่สำหรับกักตุนอาหาร  เปิดไปท้ายครัวคือโกดังเก็บฟืนและประตูเล็กออกไปยังด้านหลัง ข้างๆ คือโรงจอดรถ มีเครื่องสูบน้ำร้อนใต้บาดาลตั้งอยู่พร้อมถังพัก เรียกว่ามีอุปกรณ์ยังชีพเพียบพร้อม สามารถใช้ชีวิตไปได้หลายเดือน

…ปัญหาคือไฟฟ้าที่ไม่รู้จะดับเมื่อไหร่ ได้แต่หวังว่าพายุจะไม่รุนแรงจนทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่นลงมา…

เสียงเท้าไม้กระทบพื้นตามจังหวะเดิน วาสโก้เริ่มจะชินบ้างแล้วจึงไม่ขัดหูนัก…อีกอย่างเจ้าเด็กเวรนั่นมีทักษะการเอาใจคนไม่น้อย

“ฟูชิลีอบชีส ใส่เบค่อนและผักครับ” เนเว่วางจานลงบนโต๊ะอย่างเบามือ เรียงช้อนส้อมเก่าๆ อย่างเรียบร้อยราวกับมันเป็นเครื่องเงินหรู “น่าเสียดายที่ไม่มีขนมปังกับเนย ได้ซุปข้นอีกสักอย่างคงดี”

“นายจะกินให้เสบียงฉันหมดไวๆ หรือไง” วาสโก้ถามเสียงขุ่น แต่เมื่อมองอาหารหน้าตาใช้ได้ผสมกับกลิ่นหอมกรุ่นแล้วก็โกรธไม่ลง “ขนมปังมันเสียง่าย เลยไม่ซื้อเก็บในช่วงฤดูหนาว”

“ถ้ามีแป้งผมก็ทำให้ได้นะครับ เคยหัดทำอยู่นิดหน่อย ตอน…” เจ้าตัวชะงักเหมือนพยายามนึกอะไร “ตอนเรียนปีหนึ่ง”

“งั้นก็เพิ่งปีที่แล้วน่ะสิ” วาสโก้ตักอาหารเข้าปาก ฟูชิ—อะไรสักอย่างที่เจ้านั่นบอก สำหรับคนที่เรียกอาหารเส้นทุกอย่างว่าพาสต้า ที่มีเจ้าเส้นเกลียวแบบนี้ติดอยู่ในบ้านเพราะมีคนให้มา

“ใช่ครับ ปีก่อน แต่สำหรับคนเข้าใหม่ ทั้งการเรียนและกิจกรรมมันถาโถมจนแทบลืมวัน เรียนปีเดียวเหมือนเวลาผ่านไปเจ็ดปี” นักศึกษาหัวเราะเก้อๆ เดินเสียงดังก๊อกแก๊กไปหยิบจานอาหารของตนมาบ้าง

นัยน์ตาสีดำมองตามแผ่นหลังเล็ก…เมื่อตอนตกลงว่าให้อีกฝ่ายอาศัยหลบภัยหนาวจนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น เนเว่ควักบัตรประจำตัวนักศึกษาสภาพถลอกเยินออกจากกระเป๋าหนัง ยื่นให้ดูเป็นหลักฐาน รูปภาพบนบัตรกับหน้าจริงของเจ้าตัวเป็นพิมพ์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยน

เนเว่บอกว่ากำลังทำวิจัยเพื่อเตรียมขอทุนการศึกษา หัวข้อหลักคือการประเมินพื้นที่ท้องถิ่นในช่วงฤดูกาลต่างๆ ว่าควรจะอนุรักษ์เพื่อสิ่งแวดล้อมหรือพัฒนาให้เกิดประโยชน์…ระหว่างที่กำลังเดินสำรวจอยู่นั้น ก็พลัดตกจากเนินเขาลงมากอง จนวาสโก้ไปเจอ

อดีตผู้ประสบภัยจมหิมะเดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะ ทั้งที่ใช้ช้อนขนาดเดียวกัน แต่พออยู่ในมือขาวจัดแล้วดูใหญ่เกิน…เนเว่บอกว่าอายุสิบแปด ตัวสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบกว่าเซนติเมตร น่าจะเรียกว่าเด็กหนุ่ม…แต่ถ้าเทียบกับวาสโก้ซึ่งสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรแล้ว เขามีสิทธิเรียกอีกฝ่ายว่าเด็กชายได้สบายๆ…ท่าทางปวกเปียกนั่นก็สมวัยอยู่

“จะว่าไป คุณวาสโก้อายุเท่าไหร่เหรอครับ”

ไอ้นี่มันอ่านใจคนได้รึเปล่า ทำไมเขาคิดเรื่องไหนมันก็ถามเรื่องนั้น “สามสิบเก้า”

นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมอง ก่อนจะสนใจอาหารต่อ “ก็สมวัยเนอะ”

“…หมายความว่ายังไง” หรือนี่คือการบอกว่าแก่แบบสุภาพ

“หน้าตากับอายุสมวัยไงครับ เสมอตัว” เนเว่ยิ้ม “สามสิบเก้าเนี่ย สำหรับผู้ชายคือกำลังดีทั้งประสบการณ์ชีวิตและสภาพร่างกาย ฐานะก็มั่นคงแล้วด้วย”

วาสโก้อยากจะแย้งเรื่องฐานะ แต่พอคิดว่านั่นจะเป็นการแฉตัวเอง จึงเงียบไว้ดีกว่า “ตามนั้น”

ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือไง จานของคนทานทีหลังถึงได้หมดก่อน เนเว่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ รวบภาชนะไปยังซิงค์แล้วล้างทันที…กองภูเขาจานเก่าที่วาสโก้ทิ้งไว้ก็ถูกล้างจนหมดตั้งแต่วันแรก บ่งบอกว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับงานบ้าน…หรือจะเป็นลักษณะของนักศึกษาที่ใช้ชีวิตคนเดียว…ไม่หรอก…วาสโก้ปฏิเสธในใจเมื่อเทียบกับหอพักในอดีตของตนเองที่รกจนแมลงสาบวิ่งพล่าน

ในบ้านที่ไม่มีสัญญาณใดเข้าถึงเลย ทั้งอินเตอร์เน็ต มือถือ วิทยุหรือโทรทัศน์ สำหรับคนทั่วไปคงน่าเบื่อจนแทบเป็นบ้า วาสโก้ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ในห้องของเขามีหนังสือที่สะสมไว้เพื่อฤดูที่ถูกตัดขาดภายนอก จำนวนมากพอที่จะอ่านไปได้หลายเดือน รวมไปถึงเททริส เครื่องเกมยุคเก่าที่เขาเก็บเอาไว้พร้อมแบตสำรองอีกหลายโหล

แต่กับเนเว่ เจ้าของบ้านค่อนข้างแปลกใจ เพราะเจ้าตัวน่าจะไม่เคยมีประสบการณ์ติดอยู่บนภูเขาในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ แต่ดูมีท่าทีสงบมาก

วาสโก้คุยกับอีกฝ่ายแบบถามคำตอบคำ ดังนั้นเมื่อหมดมื้ออาหาร ต่างคนต่างก็แยกกันอยู่ เช่นคราวนี้วาสโก้เลือกจะนั่งอ่านหนังสือริมหน้าต่าง ส่วนเนเว่นั่งอยู่บนพื้นหน้าเตาผิง ใช้สิ่วอันเล็กที่ติดตัวมาแกะสลักฟืน

ชายหนุ่มแอบลอบมองเด็กแปลกหน้า…ตอนชวนเขาคุยด้วยรอยยิ้ม ก็ดูเป็นเด็กโง่ๆ ไร้พิษภัย แต่ตอนนี้…แววตานั้นเหมือนจับจ้องบางสิ่งที่ลึกกว่าไม้ ทั้งสะกิดใจและดึงดูด…

แล้ววาสโก้ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีบางสิ่งพุ่งชนผนังบ้านเสียงดังลั่น! เขาผุดลุก ทันหลบเศษกระจกที่แตกร่วงลงพื้น ลมหนาวพัดโกรกเข้ามาตามช่องโหว่

“อะไรน่ะ!”  เนเว่ตามมา เขาร้องเหวอเมื่อเห็นเงาต้นไม้สูงประมาณสองถึงสามเมตรพาดอยู่นอกหน้าต่าง

“สงสัยหิมะบนภูเขาข้างบนจะเคลื่อน ซากต้นไม้เลยไถลลงมาถึงนี่” ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายหน  “ขนาดเอาแผ่นไม้ตีปิดไว้แล้ว ยังกระแทกจนหน้าต่างพัง…เดี๋ยวต้องเอาต้นไม้ออก แล้วอุดช่องโหว่”

“ให้ผมช่วยนะครับ” ผู้มาอาศัยอาสา

วาสโก้ขมวดคิ้วอย่างกังขา แต่สองแรงย่อมดีกว่าแรงเดียว  “เดี๋ยวฉันไปหยิบค้อนกับตะปูมาก่อน”

พอเปิดประตู หิมะสูงราวหัวเข่าก็ทะลักเข้ามากอง วาสโก้ใช้พลั่วแหวกทางออกไปจนถึงหน้าต่าง ต้นไม้แม้ไม่ใหญ่แต่น้ำหนักมากเอาเรื่อง กว่าทั้งคู่จะช่วยกันทั้งถีบทั้งดันให้พ้นทางก็กินเวลาเกือบสิบนาที  หลังจากนั้นเนเว่ทาบแผ่นไม้ลงบนขอบหน้าต่างให้อีกคนตอกตะปูทีละมุม ทำซ้ำจนครบทุกด้านและแน่ใจว่าแน่นหนา

เมื่อซ่อมหน้าต่างเสร็จจึงกลับเข้าบ้าน แต่ใช่ว่าจะง่าย พวกเขาปิดประตูไม่ได้เพราะกองหิมะคาอยู่ คราวนี้เป็นเนเว่ใช้พลั่วตักหิมะออกในขณะที่วาสโก้ค่อยๆ ดันประตู…กว่าจะปิดสนิทได้ เล่นเอาหอบไปตามกัน

“ง…เหงื่อท่วมเลย” เนเว่ปาดใบหน้าชื้นฉ่ำ ไม่รู้ว่าเป็นหิมะกี่ส่วนและเหงื่อตัวเองกี่ส่วน

“ฉันด้วย…” เพราะอีกฝ่ายช่วย การซ่อมจึงไม่ทุลักทุเลเกินไป วาสโก้จึงมีแก่ใจพูดด้วย “ถอดเสื้อออก เดี๋ยวฉันให้ยืมเสื้อเปลี่ยน”

สำหรับคนที่ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าลายขวางตัวเดิมมาหลายวัน คำนั้นราวกับระฆังสวรรค์ “ข…ขอบคุณครับ ได้เปลี่ยนเสื้อแล้วววว”

คนฟังส่ายหน้ากับท่าทางดีใจสุดโต่งก่อนจะสาวเท้าเข้าห้องนอน ผลัดเสื้อตัวในที่โชกไปด้วยเหงื่อ คว้าเสื้อใหม่ของตัวเองและเผื่ออีกคน

วาสโก้ออกมาเจอเนเว่ยืนอังมืออยู่หน้าเตาผิง แผ่นหลังขาวโพลนนั้นไม่ได้เป็นหนังแห้งติดกระดูกเหมือนครั้งแรกที่มองผ่าน…เจ้าเด็กนี่มีหุ่นแบบที่เรียกว่า ‘ลีน’ คือมีกล้ามเนื้อไม่มากแต่สมส่วนและไม่บอบบางเกิน มิน่าถึงมีแรงกว่าที่คาด

รู้สึกไม่ใช่เรื่องเลยที่จะมาพิจารณาหุ่นผู้ชาย วาสโก้ส่ายหน้าแล้วเรียก “เอ้า เสื้อ”

“อ๊ะ ขอบคุณครับ” เนเว่หันมาคว้าเสื้อไปสวมอย่างว่องไว เมื่อหัวโผล่พ้นผ้าและได้เห็นอีกฝ่ายเต็มตา จึงอุทานออกมาแบบหยุดไม่อยู่ “อู้หูว….”

คนถูกมองขมวดคิ้ว “อะไร”

“ขอโทษครับ” บอกแบบนั้น แต่แววตาไม่ได้เสียใจ ซ้ำแก้มยังแดงเรื่อขึ้นมา “แต่หุ่นคุณ…สุดยอดเลย ล่ำมาก อย่างกับนายแบบ แถมรอยสักบนอกก็เท่…หัวใจกับปีกเทวดาเหรอครับ”

“เออ แล้วไง” ฝ่ายถูกชมรู้ดีว่าตัวเองรูปร่างหน้าตาแบบไหน จึงไม่สะท้านกับคำยอ แต่ระแวงกับแววตาวาววับมากกว่า “…หรือว่านายเป็นเกย์”

“ก็…”  กลอกตาเฉไฉพลางเกาหัวแก้เก้อ “…ได้ทั้งสองเพศครับ ผมชอบหมดถ้ารูปร่างดี”

จบประโยคนั้น วาสโก้เดาะลิ้นอย่างหัวเสีย ล้มเลิกความคิดที่จะไปอาบน้ำร้อน แล้วสวมเสื้อตัวใหม่

…เขาว่าเขาเห็นสายตาเสียดายจากเนเว่นะ…

“แต่ขอเคลียร์ก่อนว่า…” สองมือเล็กยกขึ้นด้วยท่ายอมแพ้ “อย่างผมจะไปทำอะไรได้ แค่คุณเตะทีเดียวผมก็ตายแล้ว ดังนั้นอย่ากลัวเลยครับ”

“ใครกลัว” เจ้าของบ้านแยกเขี้ยว “ฉันเตะนายออกไปแข็งตายข้างนอกแน่ถ้าแตะตัวฉัน”

“ไม่ทำครับ ไม่ทำ” เนเว่ยิ้มด้วยใบหน้าเหมือนจะไร้เดียงสา “ขอมองด้วยสายตาก็พอครับ”

“นาย….” นิ้วใหญ่ชี้อีกคนเป็นเชิงปราม

เจ้าตัวเล็กยังยียวน “นิดหน่อยเอง…อีกเดี๋ยวก็แยกกันแล้ว”

“รู้ตัวก็ดี…”  

วาสโก้ถอนหายใจ เดี๋ยวพายุจะผ่านไป พร้อมๆ กับเด็กคนนี้

….

…..

ทว่าเขาคิดผิด…

เมฆพายุนั้นห่มทั่วฟ้า กินเวลาต่อไปอีกสองสัปดาห์เต็มๆ…

TBC

4.

แม้จะเคยชินกับการอยู่อาศัยบนภูเขาในฤดูหนาวแค่ไหน แต่เรื่องเกินคาดเกิดขึ้นได้เสมอ

วาสโก้ตรวจเช็คสิ่งยังชีพ…เสบียงยังคงมีเหลือเฟือ น้ำดื่มน้ำใช้ไม่ขาดแคลน…แต่ไม้ฟืนเริ่มร่อยหรอ

อาจจะเพราะเตาผิงนั้นสร้างมาเล็กเกินเมื่อเทียบกับขนาดห้อง…ปีก่อนๆ ไม่เคยมีปัญหาเพราะวาสโก้มักจะมานั่งอยู่หน้าเตา ใส่ฟืนเล็กน้อยก็อุ่นพอ แต่ปีนี้มีเจ้าเนเว่มายึดครอง เขาจึงย้ายไปอยู่มุมอื่น การจะส่งความร้อนให้ทั่วพื้นที่นั้นต้องป้อนฟืนมากกว่าปกติ

ที่น่าห่วงอีกอย่างคือไฟฟ้า เพราะหลอดไฟเริ่มกะพริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ

“มีตะเกียงสำรองหรือเปล่าครับ”

เนเว่ถามขณะวางถ้วยกาแฟลงบนขอบหน้าต่างซึ่งตอนนี้เหมือนจะเป็นผนังแทนแล้วเพราะถูกตีไม้ปิดแน่นหนา

วาสโก้หยิบเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ มอบดวงไฟกะพริบ “มี…แต่น้ำมันไม่ได้ตุนเอาไว้เยอะ ต้องแบ่งเอาไว้ใช้กับเครื่องสูบน้ำอีกต่างหาก”

“งั้นควรจะหาฟืนเพิ่ม ให้ผมออกไปเก็บเอาไหมครับ” เสนอตัวตามประสาผู้อาศัยที่ดี

แต่เจ้าของบ้านกลับส่ายหน้า “ข้างนอกลมแรงขนาดนั้น อยากลงไปนอนใต้หิมะอีกหรือไง”

“ก็จริง…” แค่คิดถึงความเย็น ขนอ่อนหลังคอก็ลุกชัน “แต่ว่า ขืนรอให้พายุสงบ ฟืนคงหมดก่อน”

วาสโก้ยื่นกาแฟที่ดื่มจนหมดแล้วคืนให้คนเสิร์ฟ “อย่าเลย เจียมตัวซะบ้าง”

“ครับ…” เนเว่คอตก เดินเอาถ้วยกาแฟไปล้าง

ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์แผดเสียง วาสโก้ผุดลุกขึ้นทันที แต่เนเว่อยู่ใกล้กว่าจึงเอื้อมมือไปหาเครื่องก่อน

“ไม่ต้อง!”

เสียงตวาดนั้นทำให้ฝ่ายที่กำลังจะยกหูฟังชะงัก คนตัวเล็กหลบแทบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายพุ่งมายังโต๊ะกลางหน้าโซฟา

ทว่า…ทันทีที่มือใหญ่แตะเครื่อง เสียงกริ่งเรียกเข้ากลับเงียบหาย…สัญญาณดับไปพร้อมแสงไฟในบ้าน

วาสโก้ยืนนิ่ง…

เนเว่หันซ้ายหันขวา แม้ไฟจะดับแต่เพราะเป็นเวลากลางวัน จึงยังพอมีแสงสลัวส่องเข้ามา เขามองเจ้าของบ้านอีกครั้ง…เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเพราะอีกฝ่ายนิ่งเกินไป

มือข้างที่ไม่ได้ถือถ้วย เอื้อมไปแตะต้นแขนวาสโก้

“เป็นอะไรรึเปล่าครั—!!!”

คำตอบของคำถามที่ยังไม่จบนั้น คือการปัดมือออกอย่างแรง เนเว่ผงะถอยหลัง ถ้วยกาแฟตกพื้น แตกเป็นเสี่ยง

…เสียงโทรศัพท์คือสิ่งที่วาสโก้รอคอยเสมอมา เขารู้ว่าปลายทางอาจจะเป็นใครคนนั้น แต่ครั้งนี้พลาดจะรับ…เสาที่เดินสายไฟและสายโทรศัพท์คงจะพังเพราะแรงลม…มันเป็นเรื่องสุดวิสัย

ทว่าความเสียดาย ทำให้เลือกที่จะพาล

“เมื่อกี้นายโดนตัวเครื่องใช่ไหม” เจ้าของบ้านเค้นเสียงขุ่น

“เปล่าครับ” เนเว่ปฏิเสธเสียงเบา “ที่สายหลุดไปอาจเพราะเสามัน—”

“หุบปาก!” ขาใหญ่เตะโต๊ะกลางดังโครม โทรศัพท์ที่เมื่อครู่ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง ตอนนี้ล้มคว่ำ “ถ้าไม่เกะกะ ฉันคงจะรับสายทัน”

“…” คนฟังมองอย่างงุนงง “ผมไม่ได้ขวางทาง”

“แค่ตอนนี้ก็เกะกะสายตาแล้ว!”  วาสโก้หันมา มองคนที่ยืนตัวลีบแล้วลงเสียงหนัก “ไปให้พ้น”

นั่นไม่ใช่การไล่ไปถาวรใช่ไหม…เนเว่ถามตัวเอง ก่อนจะเบี่ยงประเด็น “ครับ…งั้น…ผมจะออกไปเก็บฟืนมาเติม”

“รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์แล้วนี่” บอกพลางแค่นเสียงหัวเราะ แขนใหญ่ยกขึ้นขยี้ผมอย่างหัวเสีย “ฉันจะไปนอน เติมฟืนให้เต็ม อย่าขี้เกียจ”

คนถูกใช้หันไปมองห้องเก็บฟืนขนาดกว้างสามคูณสามเมตรที่มีฟืนเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่…จำได้ว่าก่อนหน้านี้ห้ามเขาออกไปเพราะลมแรงจัด ตอนนี้บอกไม่เต็มไม่ต้องกลับมา…หรือนี่คืออาการไบโพลาร์

แต่ว่า…คนอาศัยจะค้านอะไรได้นอกจากทำตาม เนเว่เปลี่ยนไปสวมเสื้อของตัวเองเพราะเสื้ออีกฝ่ายตัวใหญ่เกินไปจนขยับแขนลำบาก พอกทับอีกชั้นด้วยเสื้อโค้ทหนาและพันคอด้วยผ้าเช็ดตัวเก่าๆ ที่เจ้าของบ้าน ‘บริจาค’ มาให้ คว้าพลั่วใหญ่มาถือ

ประตูหน้าถูกหิมะถมไปเกินครึ่งบานแล้ว โชคยังดีที่ประตูเล็กด้านหลังแบ่งเป็นบานบนและบานล่าง เนเว่ปีนออก จมหิมะลงไปครึ่งตัว เขากระชับพลั่วในมือแล้วเริ่มแหวกทางเดิน…

——

เสียงขวานผ่าฟืนดังเป็นพักๆ สลับกับเงียบหาย ก่อนจะเริ่มใหม่อีกรอบเมื่อคนนอกบ้านกลับมาพร้อมไม้ท่อนใหม่…บางครั้งก็ได้ยินเสียงขวานจามต้นไม้จากที่ไกลๆ แทรกมาในเสียงลมกรรโชก

เจ้าของบ้านนอนอยู่บนเตียง…เขาหลับไปในช่วงเช้า เมื่อตื่นมา นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสาม

เพราะได้พักผ่อน หัวที่ร้อนจึงค่อยเย็นลง…เขาพาลเกินไป…แม้สายเรียกเข้านั้นจะมีความหมายต่อจิตใจแค่ไหน การโมโหจนส่งเด็กหนุ่มตัวบางออกไปกลางพายุแบบนี้ก็ใจดำพอควร ทิฐิทำให้เขาไม่กล้าไปเรียกเจ้าตัวเข้ามา ได้แต่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ…ถ้าอีกฝ่ายเหนื่อยคงเข้าบ้านมาเอง

แต่ว่า…เจ้านั่นอึดกว่าที่คิดอีกแล้ว

วาสโก้จ้องเพดานจนเบื่อ จึงดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง ได้ยินเสียงปิดประตูเล็กด้านหลัง อีกฝ่ายคงออกไปหาไม้เพิ่ม…เขาอาศัยจังหวะนั้นแอบเปิดประตูด้านใน สำรวจว่าได้มาแค่ไหน

ห้องฟืนที่เคยโล่ง ตอนนี้มีท่อนไม้เล็กใหญ่บรรจุอยู่ครึ่งหนึ่ง ภายในเวลาหกถึงเจ็ดชั่วโมงสามารถทำได้ขนาดนี้ ถือว่าเก่งทีเดียว และเขาคิดว่ามันมากพอที่จะใช้งานไปได้อีกหลายสัปดาห์

ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง คนหาฟืนก็ยังไม่มา วาสโก้จึงคว้าส่วนหนึ่งมาใส่เตาไฟ ต้มน้ำร้อนเอาไว้เผื่ออีกฝ่ายกลับมาจะได้ชงอะไรดื่มคลายหนาว ส่วนเขานั่งอ่านหนังสือรอ

…หลายชั่วโมงผ่านไป…

จากที่รอ เริ่มเป็นกระวนกระวาย อันที่จริงเขาไม่คิดว่าจะต้องมาห่วงอีกฝ่าย ตอนแรกยังคิดจะปล่อยให้นอนตายกลางหิมะ…แต่ว่า…คงเหมือนกับการเก็บลูกสัตว์ข้างถนนมาเลี้ยงแล้วปล่อยไปอีกไม่ได้

นอกบ้านมืดสนิท…วาสโก้เดินเข้าห้องนอนไปคว้าไฟฉายกำลังสูงที่เก็บเอาไว้ สวมแว่นกันลมและใส่เสื้อกันหนาวทับอีกชั้น เตรียมจะออกตามหา

แต่จังหวะที่กำลังจะคว้าโค้ท เสียงประตูนอกของห้องเก็บฟืนก็ดังขึ้นเสียก่อน เขารีบเดินไปเปิดประตูด้านใน

เนเว่กลับมาด้วยสภาพพะรุงพะรัง ขวานกับพลั่วผูกเชือกไว้ที่ด้ามแล้วสะพายบนสองบ่า  หอบกิ่งไม้มัดใหญ่มาเต็มสองแขน เจ้าตัวคงค้นเจอเชือกในห้องนี้จึงนำไปใช้…ใบหน้าขาวที่มีน้ำแข็งเกาะพราวทำให้รอยยิ้มที่ส่งมาดูแข็งเกร็ง

วาสโก้ถอนใจเฮือก ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อสังเกตได้ว่าเจ้าเด็กบ้ากำลังสั่นอย่างหนัก เขาก้าวเข้าไปดึงมัดฟืนหนักอึ้งออกจากอ้อมแขนแล้วโยนลงพื้น ปลดพลั่วกับขวานออกจากบ่า…มองมือเล็กที่หงิกงอ เขาถอดถุงมืออีกฝ่ายออกแล้วเบิกตากว้าง ผิวซีดเผือดนั้นบางแห่งมีจุดสีแดงพองขึ้นมา เป็นอาการเบื้องต้นของหิมะกัด และหากปล่อยไว้นานกว่านี้จนเกิดแผลสีดำคล้ำล่ะก็…

“อยากถูกตัดมือหรือไง!”

เนเว่ยิ้มแหย “เพลินไปหน่อยน่ะครับ…”

“เพลินบ้าอะไร!” ดุพลางดึงร่างเล็กกว่าเข้าบ้าน ช่วยถอดเสื้อโค้ทและรองเท้าถุงเท้า ผลักให้นั่งบนโซฟา โยนผ้าห่มคลุมตัว เจ้าตัวยกเข่าขึ้นมากอดเอาไว้ ฟันกระทบกันเสียงดังฟังชัด

เจ้าของบ้านถอดแว่นกันลมและเสื้อกันหนาวออก เดินไปเทน้ำร้อนลงถ้วย วาสโก้หัวเสียปนรู้สึกผิด…เขาไล่อีกฝ่ายไปเพราะอารมณ์ไม่ดี อีกฝ่ายก็ไม่ควรถือคำพูดตอนนั้นจริงจังขนาดนี้ เขาเดินกลับไปยื่นถ้วยน้ำให้เด็กซื่อบื้อ

มือซีดๆ ค่อยเปลี่ยนเป็นสีปกติเมื่อได้กุมถ้วยน้ำร้อน เนเว่เอ่ยขอบคุณเสียงแหบ พลางจิบน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย…ทว่า…การฟื้นตัวดูจะชักช้าไม่ทันใจคนมอง

วาสโก้นั่งลงบนโซฟา ดึงร่างเล็กที่สั่นไม่หยุดนั้นมาไว้ในอ้อมแขน

แม้เนื้อตัวจะยังเย็นเฉียบ แต่เนเว่รู้สึกอุ่นซ่านตรงผิวแก้ม

“ทำแบบนี้…ไม่ดีนะครับ” เจ้าตัวเล็กเอ่ยเสียงเบา

แขนใหญ่รัดคนพูด “ไม่ดียังไง ฉันอุตส่าห์ช่วย”

“อ๊อก…” เนเว่หายใจลำบาก รีบดึงแขนนั้นให้คลายออก “ก็…คุณรู้อยู่ว่าผมชอบคนหุ่นดี มากอดกันแบบนี้ต้องหวั่นไหวสิครับ”

“อยากโดนโยนออกไปนอนบ้านอีกรอบไหม” ขู่…แต่ไม่ได้ปล่อยมือ “ถึงนายคิดไม่ซื่อกับฉัน แล้วทำอะไรได้”

“เพราะทำอะไรไม่ได้นี่ล่ะครับ ถึงน่าเจ็บใจ…” ตอบเสียงอ่อน “อุตส่าห์ได้เจอคนหล่อๆ หุ่นตรงเสปค แต่กินไม่ได้ซะงั้น”

“นี่ชอบหุ่นฉันจริงจังสินะ” วาสโก้ขมวดคิ้ว ไม่รู้จะขำหรือเคือง “แต่หุ่นแบบนาย ฉันกินไม่ลง”

“…ไม่ลองไม่รู้นะครับ” เนเว่หาวหวอด…เพราะน้ำร้อนที่ดื่มและวงแขนอุ่น ทำให้ร่างกายต้องการนอนเสียแล้ว “ให้ชิมฟรีก็ได้ ผมน่ะ………”

เจ้าของบ้านถอนหายใจเมื่อคนพูดหลับไปก่อนจะจบประโยค เขาดึงถ้วยออกจากมือขาวไปวางลงบนโต๊ะกลาง

คำพูดคำจาของเด็กสมัยนี้…เปิดเผยเกินจนอยากจะชกให้หน้าหัน แต่ไม่รู้ทำไม สิ่งที่ออกจากปากเด็กนี่กลับทำให้เขาเอ็นดู

เพราะการเป็นที่ต้องการของใครสักคน ย่อมรู้สึกดีอยู่แล้ว

วาสโก้เอนคอลงบนพนักโซฟา ดึงผ้าห่มให้คลุมทั่ว ผิวเนื้อที่กอดอยู่ค่อยๆคลายความเย็น พร้อมกับเปลือกตาของเขาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ

แล้วเขาก็เข้าสู่ห้วงฝันไปพร้อมกับอีกคน

——

นาฬิกาบนผนังบ้านบอกเวลาดึกสงัด…เนเว่ค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนใหญ่ ระวังไม่ให้วาสโก้รู้สึกตัวตื่น เดินอย่างเงียบงันออกไปทางห้องเก็บฟืน

ความเย็นเสียดแทงขึ้นมาตามฝ่าเท้าเมื่อเหยียบพื้นหิน เขาตรงไปยังฟืนมัดสุดท้ายที่หอบมา ปลดเชือกออก

…ในกองไม้คือไรเฟิลกระบอกยาว…

เจ้าตัวรีบเช็คสภาพปืนที่ซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันยังใช้งานได้

มือเล็กวางอาวุธลงในกองฟืนดังเดิม มัดเชือกให้แน่นหนา แล้วซ่อนเอาไว้ในซอกแคบระหว่างผนัง บังอีกชั้นด้วยตอไม้ที่ยังไม่ได้ผ่า…ย่องอย่างเบาแรงกลับมายังห้องรับแขกดังเดิม

เนเว่มองร่างใหญ่ที่นอนหายใจสม่ำเสมอ…ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าด้านหน้าโซฟา เบนสายตาไปยังเตาผิง

ดวงตาสีฟ้าสงบนิ่ง…มีเพียงแสงสะท้อนจากกองไฟที่ยังเต้นเร่า

TBC

  • วันนี้ลงเร็ว เพราะเราจะไปดูหน้ากากนักร้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง