macho_luglio 's cargo, Mostly fanfictions.

Archive for November, 2016

[Novel] Omega3verse. – Day30 [END]

16-11-30-23-18-50-722_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 30

Keyword : Death

Ch 30 : June 9, 2017.

 

‘นักวิทยาศาสตร์ที่พูดภาษาอังกฤษส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “killer whale (วาฬเพชฌฆาต)” แม้คำว่า “orca (ออร์ก้า)” จะถูกใช้มากขึ้น วาฬเพชฌฆาตเป็นข้อสนับสนุนที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน โดยแท้จริงแล้ว ชื่อสกุล Orcinus หมายถึง “ของอาณาจักรแห่งความตาย” หรือ “เป็นสมาชิกของความตาย (Orcus)” โรมโบราณเป็นผู้ให้กำเนิดคำว่า orca (พหูพจน์ orcae) เพื่อเรียกสัตว์ชนิดนี้ อาจเป็นไปได้ที่ยืมคำมาจากภาษากรีก ὄρυξ (ในหลายๆ คำ) ซึ่งเกี่ยวโยงถึงวาฬชนิดนี้ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1960 ความนิยมของออร์ก้าได้เติบโตอย่างมั่นคง ทั้งในชื่อและการใช้งาน คำว่าออร์ก้าถูกใช้ในบางสิ่งที่ของการเลี่ยงความหมายโดยนัยในเชิงลบของ “นักฆ่า” และเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์โลมามหาสมุทร วาฬชนิดนี้จึงเป็นญาติใกล้ชนิดกับโลมามากกว่าวาฬ’

-Wikipedia

 

 

ไมเคิล ชาร์กเบนเดอร์ ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่เก้า เดือนมกราคม

หากเวลาผ่านไป…ยิ่งสืบค้นหลักฐานในห้องทำงานของเจ้าตัวเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลต่อคำตัดสินของศาล

เหตุเพราะความรู้อันเข้าขั้นอัจฉริยะของจำเลยนั้น…ทำให้รัฐบาลนึกเสียดาย

ยิ่งมีคำสนับสนุนบ่งชี้จากนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ว่างานวิจัยของชาร์กเบนเดอร์ไม่ได้มีแต่เรื่องอำมหิตผิดศีลธรรมเพียงอย่างเดียว บางอย่างยังเอื้อประโยชน์ต่อวงการแพทย์

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือความสามารถในการสืบหาสายพันธุ์ที่ ‘สูญหาย’ ไปแล้ว

….

………..

……………..

หกเดือนผ่านไป คำตัดสินใหม่ถูกประกาศ

เปลี่ยนจากโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นการรับใช้รัฐบาล โดยการส่งออกไปยัง ‘อภิมหาสมุทร’ …ผืนน้ำนอกเขต United ความเวิ้งว้างอันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีใครหน้าไหนอยากออกไปเสี่ยง

งานที่ได้รับมอบหมายคือ ‘ตามหามนุษย์พันธุ์ออร์ก้า’ ซึ่งมี ‘ความเชื่อ’ ว่ายังหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินสักแห่งที่ยังไม่มีใครค้นพบ

…เป็นงานกึ่งเนรเทศ…เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่าจะมีแผ่นดินอีกที่ไหน

ชาร์กเบนเดอร์รับงานนั้นอย่างไม่ลังเล

…..

…………….

………………….

เรือเดินสมุทรที่สร้างตามแปลนการออกแบบของชาร์กเบนเดอร์เองเทียบท่าที่สุดเขตเซาท์เทิร์นเนียร์ พร้อมออกจากฝั่ง….นอกเหนือจากผู้คุมและเจ้าหน้าที่เทคนิคตอนส่งเรือแล้ว ชาร์กเบนเดอร์ไม่หวังจะได้พบหน้าใครอีก

ทว่า…บนเรือที่อาจจะพาเขาออกไปตายนั้น…มีพอลยืนรออยู่

“อย่าไป…” เสียงสั่นเครือออกจากลำคออย่างไม่ตั้งใจ “อย่าไป…อย่าไปตายพร้อมกับฉัน”

“อันที่จริง…ผมเริ่มชินแล้ว หลังจากเกือบตายตอนโดนซีบิลแทงไปรอบ”  บอกด้วยเสียงสดใส ร่างกายกลับมาตุ้ยนุ้ยดังเดิม เพราะระหว่างที่พักฟื้นเขาตักตวงของอร่อยอย่างเต็มที่ “แต่ผมก็ไม่อยากตายกลางทะเลนั่นหรอกนะ”

“งั้นก็อย่าไป!” ชาร์กเบนเดอร์ตะคอก…เขาไม่อยากเห็นพอลในสภาพใกล้ตาย…ไม่อยาก….ไม่อีกแล้ว

“ผมจะไป”  พอลยังคงย้ำคำ แววตาจริงจัง “…ถ้าไม่อยากให้ผมตาย คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตผมเอาไว้ให้ได้…ทำงานให้เสร็จ…แล้วกลับมาพร้อมกัน”

ตลอดมา ชาร์กเบนเดอร์คือเจ้าชีวิต

นี่คือครั้งแรก ที่เขาต้องกระเสือกกระสน เพื่อรักษาชีวิตของคนอื่น

…คนที่เขาไม่อยากจะสูญเสีย…คนบ้า ๆ ที่รักเขาจนสุดหัวใจ…

พอลเดินมาจับมือนักโทษชั่วชีวิต บีบเบา ๆ ให้รู้สึกถึงเลือดเนื้อในกายเขาที่ยังคงอบอุ่น…

“ผมมีล้านเหตุผลที่จะทิ้งคุณไป…แต่ผมต้องการเพียงคำเดียวที่จะหายใจเพื่อคุณต่อ”

ชาร์กเบนเดอร์พ่ายแพ้

เขาดึงคนตรงหน้าเข้ามาในอ้อมแขน…กระซิบคำแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจ

น้ำตาหยดหนึ่งของพอล หล่นลงสู่พื้นอย่างเงียบงันและไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตได้…ก่อนจะกระซิบตอบ

‘Till death do us apart’


The end

Talk :

  • มีอะไรมากมายอยากจะกล่าว…เดี๋ยวมาอิดิทค่ะ… (TvT
  • จบแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
  • …กลับมาอิดิท…
  • ไม่รู้จะทอล์คอะไรค่ะ แง /น้ำตาลูกผู้ชาย(?)ไหลท่วม
  • อ่ะ เข้าเรื่องก่อน
  • จะมีการรวมเล่มเป็นที่ระทึก #ระลึก!!! แน่นอนค่ะ กำลังติดต่อจัดรูปเล่ม+หาคนวาดปก เย้ ๆ ๆ XD
  • ในรวมเล่มนั้น จะมีตอนพิเศษโดยเฉพาะของพอล 5 ตอนรวด และตอนพิเศษของคู่หลักแบบฟันไร่อ้อยรีดน้ำตาลมาเซ่นสรวงนะคะ อ้อ เรื่องของหนูน้อยโคลกับชาวคริมสันด้วย ❤
  • และ สุดท้าย…เราไม่ได้จากกันไปไหนไกล
  • ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านเลยค่ะ โดยเฉพาะทุกคอมเมนต์ ทุกช่องทาง…มาช้วยมีกำลังใจแต่งเพราะคอมเมนต์ของพวกคุณจริง ๆ นะคะ ไม่งั้นคงมาไม่ถึงจุดนี้ (TvT
  • ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณ ขอบคุณณณณณณณณณณณณณณณณ /วิ่งไล่จูบ
  • หากผูกพันกันแล้ว (แน่ะ!) หวังอย่างยิ่งว่าจะได้พบกันอีกในอนาคตนะคะ อาจไม่ได้บ้าระห่ำเท่านี้ แต่จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ (- -,,
  • รัก ❤

[Novel] Omega3verse. – Day29

16-11-25-01-15-52-064_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 29

Keyword : สมุดโน้ต

Ch 29 : Jan 9, 2017.

‘วาฬเพชฌฆาตมีพฤติกรรมรวมฝูงกันล่าปลาขนาดใหญ่ อย่าง ปลาฉลามขาว และแม้แต่วาฬด้วยกันหรือโลมาเป็นอาหารด้วย’

-Wikipedia

 

คริมสัน เปิดเมืองสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้ง

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย การเข้าออกจึงยังจำกัดอยู่ หลัก ๆ คือเปิดให้ชาวกลายพันธุ์ผู้ต้องการถิ่นฐานถาวรเดินทางมา และนำอุปกรณ์การแพทย์ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม

เพื่อความปลอดภัย โจชัวถูกส่งตัวเข้าไปผ่าตัดนำมดลูกโอเมก้าออกเพราะอวัยวะของแฝดกาฝากส่วนนี้บอบช้ำจนเกินเยียวยา…

หลายคนกล่าวว่าเสียดาย เพราะโจชัวจะมีลูกอีกไม่ได้…หากเจ้าตัวและคาร์ลเห็นพ้องต้องกันว่า…มดลูกนี้ได้ทำการอุ้มบุญมามากพอแล้ว พวกเขาไม่ต้องการอะไรอีก

การผ่าตัดสำเร็จลงด้วยดี โจชัวนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลพร้อมลูกน้อย ในขณะที่คาร์ลแม้จะอยากอยู่ด้วยใจจะขาด ก็ต้องหักห้ามตนเอง ปลีกตัวออกมาจัดเตรียม ‘บ้าน’ ไว้ต้อนรับสมาชิกใหม่

บ้านที่พวกเขาจะอยู่อาศัยนับจากนี้ คือของกำนัลจากเอิร์นเนส เป็นบังกะโลหลังเดิมที่พวกเขาเคยมาอยู่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะระหกระเหินออกไปเสี่ยงตาย

คาร์ลกล่าวขอบคุณตาเฒ่านับครั้งไม่ถ้วน หากได้รับคำขอบคุณกลับมา…บอกว่านี่คือรางวัลที่พวกเขาสมควรได้รับ ในฐานะวีรบุรุษ…

สัมภาระที่ติดตัวมานับตั้งแต่ออกจากแปซิฟิเซียร์ จึงได้มากองอยู่ในบังกะโลอย่างเต็มภาคภูมิ

คาร์ลทำความสะอาดทุกซอกมุมจนสะอาดเรี่ยม นำเสื้อผ้าออกมาซัก จัดเก็บของเข้าตู้ให้เป็นระเบียบ

และสะดุดตาเข้ากับสมุดโน้ต หน้าปกลายแรคคูนของโจชัว…

การต่อสู้ระหว่างความอยากรู้ กับความยับยั้งชั่งใจเนี่ย…มันหนักหน่วงเอาเรื่องนะ…

สุดท้าย…คาร์ลยืนยันกับตัวเองในใจ เขาเคยประกาศไปแล้วว่าตัวเองคือจอมฉวยโอกาส ดังนั้น…เปิดอ่านมันเสียเลย!!!

………

………………..

…………………….

หนุ่มแมคเคอเรลหน้าแดงก่ำ…เมื่ออ่านบันทึกตั้งแต่อดีตที่โจชัวเขียนเอาไว้ เขาปิดสมุดลงเมื่ออ่านครบจนถึงล่าสุด…วันที่เขาเห็นอีกฝ่ายแอบเขียน

ทั้งเล่มคือไดอารี่ที่ไม่ต่อเนื่อง มีเรื่องสัพเพเหระมากมาย

…และมีเรื่องของเขา…ไม่มาก…หากสั่นคลอนจิตใจของคนที่แอบรักมาเนิ่นนานคนนี้

คาร์ลยิ้มเหมือนคนบ้า รีบจัดการแต่งบ้านให้เสร็จอย่างว่องไว ราวกับกลายพันธุ์จากปลาแมคเคอเรลเป็นปลาหมึกไปแล้ว

เพราะเขาอยากจะรีบไปหาลูกน้อย และเค้นความจริงจากปากเจ้าของของไดอารี่…ว่ามีใจให้เขามานานแค่ไหนกัน

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day28

16-11-25-01-14-54-226_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 28

Keyword : หลงลืม

Ch 28 : Jan8, 2017.

‘วาฬสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่ม (อันดับย่อย) ใหญ่ ๆ ได้แก่ วาฬบาลีน (Mysticeti): วาฬกลุ่มนี้มีลักษณะคือใช้แผ่นกระดูกเรียกว่า “บาลีน” มีลักษณะเป็นซี่คล้ายหวีกรองอาหารซึ่งได้แก่ แพลงก์ตอนต่าง ๆ จากน้ำทะเล วาฬที่อยู่ในกลุ่มนี้เป็นวาฬขนาดใหญ่เช่น วาฬสีน้ำเงิน ที่มีความยาวได้ถึง 80 ฟุต ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาด้วย เป็นวาฬที่มีช่องหายใจ 2 ช่อง

วาฬมีฟัน (Odonceti): ลักษณะโดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าวาฬบาลีน รวมทั้งโลมาทุกชนิด, วาฬเพชฌฆาต และนาร์วาฬ เป็นวาฬที่มีช่องหายใจเพียงช่องเดียว เป็นวาฬที่เป็นสัตว์นักล่า ล่าสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร’

-Wikipedia

สามวันหลังจากการปราบกบฎชาร์กเบนเดอร์  แปซิฟิเซียร์มีการปราศัยครั้งใหญ่ ถ่ายทอดสดไปทั่วทั้ง United

ลำดับแรก ผู้ว่าการเขตเซาท์เทิร์นเนียร์ ‘จอห์น ซีตัส’ ได้รับคะแนนเสียงโหวตจากประชาชนอย่างท่วมท้นให้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ หลังจากประธานาธิบดีคนเดิมรู้สึกอับอายต่อการปฎิบัติหน้าที่ของตน จนขอลาออก

…ซึ่งทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าท่านผู้นำคนเดิมนั้น ‘กลัว’ จะถูกสืบสวนย้อนหลังว่าทำผิดอะไรไว้ โทษในขณะดำรงตำแหน่งกับโทษขณะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนั้นหนักหนาต่างกันพอดู เจ้าตัวจึงรีบชิงลาออกไปเสียก่อน

แม้จะขึ้นรับตำแหน่งอย่างกะทันหัน แต่อันที่จริงซีตัสรอเวลานี้มาทั้งชีวิต…เขาจึงเตรียมตัวมาพร้อม ไม่ได้มามือเปล่า หากมาพร้อมร่างกฎหมายฉบับใหม่ พร้อมเสนอใช้ทันที

แต่สิ่งแรกที่เขาเลือกจะกล่าวในการปราศรัยครั้งแรก คือ ‘คำขอโทษ’

“ที่ผมต้องกล่าวขอโทษเป็นอย่างแรกนั้น…เพราะผมเองไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าหลงลืมประชาชนกลุ่มหนึ่งไป ด้วยความขลาดเขลา ด้วยความโง่งม…

ประชาชนกลุ่มนั้น คือชาวกลายพันธุ์ที่หลายสังคมตั้งแง่รังเกียจ…พวกเขาปรากฎตัวในวันที่ผมกำลังจะพ่ายแพ้ เดิมพันชีวิตและกำลังเอาไว้ในมือของผม….ความหนักหน่วงนี้เองเป็นกำลังให้ผมกล้าจะลุกออกมาปฏิวัติ United ใหม่

พวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกันใช่หรือไม่ พวกเรามีมนุษยธรรมเพียงพอหรือเปล่า แค่มีส่วนหนึ่งของร่างกายเปลี่ยนไปเพราะความแร้นแค้น ใช่เหตุให้เราต้องรังเกียจพวกเขาหรือไม่

เปลี่ยนทัศนคติร่วมกันเถิดครับ หากเขาแร้นแค้น เราต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือหาใช่เดียดฉันท์ หากเขาถูกคนเห็นแก่ตัวรังเกียจและรังแก พวกเราควรลุกขึ้นปกป้อง

กฎหมายที่ผมบัญญัติขึ้นใหม่นี้ จะเอาผิดกับผู้ที่เหยียดคนกลายพันธุ์จนถึงที่่สุด หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยไถ่บาปอันทับถมในรัฐของเราออกไป…อนาคตของลูกหลานที่กำลังจะเกิดมา จะได้มีเสรีภาพอันแท้จริง”

ซีตัสจบการปราศัยด้วยเสียงปรบมือและโห่ร้องอันกึกก้อง

…เขาเคยคิดว่าหากได้อยู่บนจุดสูงสุดนี้ ต่อไปจะได้หาประโยชน์เข้าตัวสำราญใจ เงินทองลาภยศมากมายเกินจินตนาการ…

หากตอนนี้…กลับรู้สึกว่าการถูกชื่นชมในฐานะ ‘คนดี’ นั้นช่างแสนอิ่มเอิบนัก…มีความสุข…เสียยิ่งกว่าการได้ครอบครองสิ่งใด

…หรือเขาควรจะหาประโยชน์นิดหน่อย แต่ทำตัวให้ดีมากขึ้นจะดีไหม…

ชายชรายิ้มออกมา เมื่อจินตนาการถึงหลุมศพของตนเองประดับด้วยจารึกเกียรติคุณ

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day27

16-11-25-01-11-56-899_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 27

Keyword : ตีลังกา

Ch 27 : Jan 7, 2017.

‘วาฬเพชฌฆาต หรือ วาฬออร์กา (อังกฤษ: Killer whale, Orca) เป็นสปีชี่ส์ที่ใหญ่ที่สุดในในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) สามารถพบเห็นได้ในมหาสมุทรทั่วโลก ตั้งแต่แถบอาร์กติกและแอนตาร์กติกา จนถึงทะเลในแถบเขตร้อน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถพบเห็นได้ทั่วโลกมากที่สุดนอกเหนือจากมนุษย์’

-Wikipedia

บมจ.ชาร์กเบนเดอร์ถูกสั่งให้ปิดกิจการชั่วคราว เป็นข่าวคึกโครมไปทั่วทั้ง United

พนักงานทุกคนอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะโล่งใจลงไปบ้างเมื่อรัฐบาลกลางรับปากว่าจะช่วยเข้ามาบริหารจัดการให้พนักงานได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ส่วนเจ้าของบริษัทนั้น…โดนจับในข้อหาก่อกบฎ ก่อการร้าย ฆาตกรรม และทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นจำนวนมาก มีเจ้าทุกข์จากเหตุการณ์หลายพันคน

ชาร์กเบนเดอร์ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีที่ศาลาว่าการเมืองแปซิฟิเซียร์ มีเวรยามเฝ้าแน่นหนา…หนึ่งในนั้นคืออดีตลูกน้อง ผู้กลายมาเป็นเจ้าทุกข์ และเจ้าพนักงานพิเศษที่ซีตัสแต่งตั้งให้

“…เหมาะกับชุดเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เบานี่ พอล”  ฉลามขาวแสยะยิ้ม หันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง

“ขอบคุณที่ชม…”  หนุ่มเจ้าเนื้อยิ้มตอบ “คุณเองก็ใส่ชุดนักโทษกับกุญแจมือได้ดูดีเหมือนกัน”

“แล้วยัยนี่….มาทำไม” อดีตเจ้านายถาม เบนสายตาไปยังหญิงสาวอีกคนในห้องสอบสวน

ซีบิลนั่งหน้าตึงอยู่อีกฝั่งโต๊ะ หลังไปช่วยคนรักออกมาแล้ว เธอใช้สิทธิพิเศษในฐานะผู้ช่วยกอบกู้วิกฤติคนหนึ่ง ขออนุญาตผู้ว่าการซีตัสเพื่อมาถามอะไรบางอย่างเป็นการส่วนตัว

“ฉันมีเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ อยากให้นายตอบตามตรง”  ม้าน้ำสาวในชุดดำยกแขนขึ้นกอดอก “…ระหว่างทำการทดลองกับบุปผา…เธอให้กำเนิดลูกหรือเปล่า”

พอลฟังคำถามแล้วลอบกลืนน้ำลายในลำคอ…เขารับรู้มาตลอดว่าบางครั้งชาร์กเบนเดอร์ก็มีเซ็กซ์กับโอเมก้ากลุ่มทดลอง แถมยังมีลูกมากมาย…หนึ่งในนั้นจะถือกำเนิดจากท้องคนรักของซีบิลหรือไม่

“บุปผา….” ฉลามขาวแกล้งตีหน้าเซ่อ “บุปผานี่…ใครเหรอ”

ขาดคำ

รองเท้าส้นเข็มสีดำก็ฟาดเข้าใส่ปากของชาร์กเบนเดอร์เต็มเหนี่ยว เรี่ยวแรงของหญิงสาวร่างระหงกลับหนักหน่วงเหลือเชื่อ ชาร์กเบนเดอร์ล้มคว่ำลงมาจากเก้าอี้ เลือดสาดจนพื้นเป็นสีแดงฉาน

“นังนี่!!!” อัลฟ่าฉุนขาด ปล่อยพลังหมายจะจัดการโอเมก้าหญิง

ทว่า…ปากกระบอกปืนกลับกดลงบนหลังศีรษะเสียก่อน…พอลวางมือลงบนไหล่หนา บีบคลึงคล้ายเอาใจ

“อย่า…คิด…ใช้พลัง…เด็ดขาด”  ผู้คุมร่างอวบขู่เสียงเย็น ค่อย ๆ ดึงนักโทษกลับขึ้นมานั่งเก้าอี้อีกหน “ตอบเขาไปดี ๆ เถอะ”

ซีบิลพยายามระงับความโกรธ นั่งลงตามเดิม คราวนี้ไขว่ห้าง โชว์ปลายรองเท้าเปื้อนเลือดให้ชมด้วย…

ชาร์กเบนเดอร์ถ่มน้ำลายเลือดลงบนพื้นก่อนตอบ  “ไม่มี…ฉันพยายามผสมพันธุ์ยัยนั่นกับหลง แต่ผสมเท่าไหร่ก็ไม่ติดลูกเลยสักครั้ง”

“ผสมพันธุ์…”  โทสะของม้าน้ำกรุ่นขึ้นอีกครั้ง “…คำดี ๆ มีไม่ใช้…ช่วยให้เกียรติเธอในฐานะมนุษย์บ้างได้ไหม”

“ขออภัยที่ต้องแทรก”  พอลยิ้มบาง สีหน้าเห็นอกเห็นใจซีบิล  “แต่คน ๆ นี้…ไม่มีเรื่องการให้เกียรติคนอื่นอยู่ในหัวหรอกครับ…เขาถือว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า ทุกคนบนโลกคือสมบัติของเขา เป็นราชาแห่งสรรพสิ่ง…ปมหลงตัวเองอะไรประมาณนั้น”

“อ้อ…เหรอ…”  ซีบิลเลิกคิ้วช้า ๆ เลียนแบบการยียวนของฉลามขาว “งั้นฉันควรจะไปจับคนของเขาคนไหนมาทรมานดี…”

“ไม่มีหรอก” พอลตอบให้อย่างง่ายดาย “มีแต่คนที่รักและยอมตายเพื่อเขา ไม่มีคนที่เขารักและยอมตายแทนได้”

น้ำเสียงนั้นรื่นเริงราวกับเล่าเรื่องไกลห่าง…หากชาร์กเบนเดอร์รู้สึกได้ ว่าพอลเอ่ยถึงตนเอง

ความหวังบางอย่างจุดขึ้นในหัว

“มีสิ…”  ชาร์กเบนเดอร์ขัดคอ “มีอยู่คนหนึ่ง…ที่หากฉันรอดออกไปจากคุกนี้ จะยินยอมให้เขาอยู่เคียงข้าง จะซื่อสัตย์ต่อเขาไปตลอดกาล…จะรักเพียงเขาคนเดียว”

ผู้คุมนิ่งงันไป ฝ่ายซีบิลขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ช่วยฉัน….”  ฉลามขาวกระซิบแผ่วให้ได้ยินเพียงสองต่อสอง…ทุ้มต่ำ…ราวกับกล่อมข้างหูยามเคยอยู่บนเตียงร่วมกัน “…ทำเพื่อฉัน”

พอลยิ้ม…หากเป็นยิ้มที่เศร้าสร้อย

“วันนี้คงให้คนดังสัมภาษณ์ต่อไม่ได้แล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะนะซีบิล”  หนุ่มเจ้าเนื้อก้มหัวเป็นเชิงขอโทษหญิงสาว ขณะบีบบ่านักโทษ ดึงให้ลุกขึ้นยืน “ได้เวลากลับห้องพักสุดหรูแล้วครับเจ้านาย”

ซีบิลเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมพยักหน้า

ส่วนชาร์กเบนเดอร์…ถอนหายใจอย่างหน่วงหนักเมื่อคำเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกแขนขึ้นเช็ดเลือดที่ยังไหลออกมา

พอลเดินนำไปก่อน ไขกุญแจเปิดประตูห้อง

พริบตานั้นเอง เขาเหลือบเห็นท่อนแขนใหญ่หวดเข้ามาจากด้านข้าง เห็น แต่หลบไม่พ้น! จึงโดนกุญแจมือฟาดเข้าไปข้างขมับ แม้จะไม่โดนไม่เต็มที่ แต่ก็เล่นเอาเสียหลักล้มลงไปกอง

ซีบิลผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ หากชาร์กเบนเดอร์ไวกว่า เขางัดโต๊ะกลางจนมันตีลังกา พุ่งกระแทกเข้าเอวเธอ หญิงสาวทรุดฮวบ จุกจนร้องไม่ออก

ฉลามขาวคิดจะใช้อดีตลูกน้องเป็นตัวประกันในการหลบหนี เขาดึงไหล่ให้พอลลุกขึ้นมา แต่กับถูกเข่าขยอกเข้าเต็มลิ้นปี่ พอถอยหนีก็โดนหมัดฮุคซ้ายขวาไล่ถลุงไม่นับ

“แก!!! เพราะแกไม่ยอมร่วมมือกับฉันดี ๆ !!!”  อดีตเจ้านายขึ้นเสียงพลางหลบหลีก “อย่าบังคับให้ฉันต้องทำร้าย!!!”

“ผมรู้…”  พอลขอบตาแดงช้ำ เสียงสั่น “ผมรู้…ว่ายังไงคุณก็หักหลังผม ถึงได้ระวังตัวตลอด”

ชาร์กเบนเดอร์หน้าชาไปวูบหนึ่ง…ก่อนจะกลบความรู้สึกนั้นด้วยการเตะสวนเข้าแขนที่พอลตั้งการ์ด ขนาดตัวที่ต่างกันมากทำให้แมคเคอเรลตัวเล็กไถลไปด้านหลัง เขาได้โอกาสหนี รีบกระโจนไปทางประตู

แต่เพราะไม่ทันระวังเลือดบนพื้นที่ตนเองถ่มไว้ จึงเหยียบเข้าไปเต็มที่ ลื่นจนร่างกระแทกเข้ากับผนังก่อนถึงจุดหมาย

ในสภาวะไร้หลักยันนั้น เขาเห็นซีบิลจากหางตา…หญิงสาวพุ่งตรงมาหา พร้อมเข็มฉีดยาขนาดใหญ่…จะยังเรียกเข็มได้ไหม มันใหญ่เสียจนควรจะเรียกกว่าแท่งเหล็ก…บรรจุของเหลวสีแดงเข้มไว้เต็มหลอด

เขารู้โดยสังหรณ์….ว่านั่นคือเลือดของ ‘อแมนด้า ชาร์กเบนเดอร์’ เลือดของ ‘แม่’ ที่สามารถฆ่าเขาได้

…ชีวิตคงจบลงแค่นี้…

….

………….

…………….

หลอดบรรจุเลือดหลุดจากมือซีบิล เธอตกใจ…เพราะแทงคนผิด

ไม่…เธอไม่ได้แทงคนผิด…พอลต่างหากที่พุ่งมาขวางชาร์กเบนเดอร์เอาไว้

“ทำไม….ทำไม!!!” หญิงสาวกรีดร้อง ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ

พอลยิ้มอ่อนโยนให้เธอ

“ผมบอกแล้ว…ว่าต่อให้เขาจะระยำเลวทรามไร้ความรักต่อคนอื่นแค่ไหน ยังไงก็ยังมีคนที่ตายแทนเขาได้”

ซีบิลส่ายหน้า…รักโดยไม่มีเงื่อนไข…เธอรู้….เธอเข้าใจ…เธอรู้สึกเช่นนั้นต่อบุปผามาทั้งชีวิต

แต่เสียดายเหลือเกิน ที่ความรักเช่นนั้น…พอลกลับเลือกจะมอบให้คนไร้หัวใจ

“ขอโทษที่ขัดขวางการแก้แค้นของเธอนะ แต่ไม่ต้องห่วง….”  เสียงแผ่วลงเรื่อย ๆ ตามลมหายใจ “…คนแบบนี้ธรรมชาติจะลงโทษเขาเอง….”

“ไม่ ไม่ ไม่” ซีบิลลนลาน เธอหยิบสมาร์ทโฟนออกมากดเบอร์อัตโนมัติเรียกหน่วยกู้ชีพ ก่อนจะตรงเข้าไปพยายามพยุงพอลขึ้น

ทว่า…กลับถูกมือใหญ่คู่หนึ่งผลักออก

ชาร์กเบนเดอร์ยืนค้ำร่างของพอลที่หายใจรวยริน…ดวงตาเย็นชาจ้องมอง

“โง่สิ้นดี…ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเลี้ยงคนอย่างนี้…น่าผิดหวัง”

พอลยิ้ม…ก่อนดวงตาจะปิด

“ตายอย่างไร้ค่า…น่าสมเพชเหลือเกิน…นายทำอะไรได้ซับซ้อน ฉันไม่เข้าใจ….”

ซีบิลเพิ่งตั้งหลักได้หลังถูกผลัก อ้าปากกว้างเตรียมจะตวาด

…หากต้องชะงักค้าง…เมื่อเห็นชาร์กเบนเดอร์ทรุดตัวจนเข่ากระแทกพื้น…รวบร่างของพอลขึ้นมากอดเอาไว้

โง่…โง่…โง่เหลือเกิน…

ถ้อยคำสิ้นหวังนั้นก้องกังวานไปทั่วห้องสอบสวนอันชืดเย็น

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day26

16-11-25-01-11-14-331_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 26

Keyword : Mask

Ch 26 : Jan 6, 2017.

 

 

‘Sardine Run คือการอพยพของฝูงปลาซาร์ดีน เกิดขึ้นที่แอฟริกาใต้ในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคม เมื่อปลาซาร์ดีนนับพันล้านตัว วางไข่ในน้ำเย็นที่ Agulhas Bank และเคลื่อนไปทางทิศเหนือตามแนวชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้ ตัวเลขการอพยพที่ชัดเจนของพวกเขาสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ล่าทั้งหลายตามแนวชายฝั่งดั่งกล่าวไปจนถึงโมซัมบิก ก่อนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่มหาสมุทรอินเดีย

กลุ่มปลาซาร์ดีนเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อป้องกันการถูกคุกคามจากผู้ล่าทั้งหลาย ได้แก่ โลมา, นกทะเล, ฉลาม, วาฬ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวเองที่เชื่อว่าการรวมตัวเป็นกลุ่มมีโอกาสรอดมากกว่าอยู่เพียงตัวเดียว’

-Wikipedia

 

 

นานมาแล้ว…เมื่อแรกเริ่มยุคมหาวารี ยังมีแผ่นดินเหลืออยู่ และในแผ่นดินนั้น มีทะเลสาบขนาดใหญ่ เป็นดั่งบ้านของมนุษย์สายพันธุ์ปลาน้ำจืด

พวกเขาเหล่านั้นมีอายุยืนยาว สวยงาม อ่อนวัยอยู่เสมอ…อาศัยอยู่อย่างสงบสุข ไร้การรบกวนจากภายนอก บ้านของพวกเขาดั่งสวรรค์บนดิน มีความพอเพียงจนไม่อยากแสวงหาอะไรอีก…

หากไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ภูเขาที่โอบล้อมทะเลสาบพังทลาย เหล่าสายพันธุ์น้ำจืดได้พบโลกภายนอก…นรก…เริ่มจากจุดนั้น

เกิดข่าวลือ ว่าหากอยากจะอายุยืนยาวและอ่อนวัยไม่แก่เฒ่า ต้องทานเนื้อของพวกน้ำจืด…โดยเฉพาะเหล่าโอเมก้า พวกเขาถูกไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยม หลายตระกูลสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

แม้โลกจะโหดร้าย หากยังมีความหวัง เมื่อเหล่าผู้มีจิตใจเมตตาและเชิดชูมนุษยธรรมได้จัดตั้งองค์กรลับขึ้น…เป็นองค์กรที่ช่วยเหลือและดูแลสายพันธุ์น้ำจืด ให้ที่พักและปกปักรักษา

นั่นคือจุดกำเนิดของ ‘คริมสัน’

เวลาผ่านไป สายพันธุ์น้ำจืดทยอยหมดสิ้นอายุขัย เหลือเพียงรุ่นหลังไม่มากนัก หากคริมสันกลับขยับขยาย รับเอาสายพันธุ์หายากอื่น ๆ มาดูแลไว้ รวมไปถึงพวกกลายพันธุ์ที่โดนบางสังคมรังเกียจ

‘ซีบิล’ โอเมก้าม้าน้ำรุ่นสุดท้าย ได้รู้จักกับ ‘บุปผา’ โอเมก้าปลาสวาย ที่เมืองนี้

…แม้จะอายุต่างกัน แม้จะคนละหลายพันธุ์ แม้จะเป็นโอเมก้า แม้จะเป็นเพศหญิง…

หากเมื่อความรักเกิดแล้ว สิ่งใดก็มาเป็นข้อแม้ไม่ได้

ทั้งคู่ครองรักกันมาเนิ่นนาน จนวันหนึ่ง คริมสันได้รับเอา ‘หลง’ โอเมก้าปลาอะโรวาน่า เข้ามาอยู่ในความคุ้มครอง…บุปผาถูกชะตากับน้องชายร่วมสายน้ำจืดคนนี้ เอ็นดูและดูแลเขาอย่างดีเสมอ

หากหลงยังมีห่วงอยู่นอกคริมสัน…เขาอยากกลับไปยังบึงน้ำบ้านเกิด เพื่อตามหาญาติที่อาจยังหลบหนีอยู่

ความทุกข์ของหลงทำให้บุปผาใจอ่อน เธอลอบออกไปพร้อมกับเขา เดินทางขึ้นเหนือสู่อาร์กติกเซียร์ พรมแดนติดต่อกับโลกน้ำจืดเก่า

และไม่ได้กลับมาอีก….

ซีบิลแทบคลุ้มคลั่ง แม้ทุกฝ่ายในคริมสันจะพยายามช่วย หากไม่ทันใจอันร้อนรน เธอออกจากคริมสันโดยไม่รอ สืบหาทุกอย่างด้วยตนเอง…ชีวิตของม้าน้ำยืนยาว…เธอศึกษาทุกอย่าง จนเจอที่ ๆ กักขังคนรักเอาไว้ หากความพยายามล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะโอเมก้าแบบเธอไม่อาจต้านทานพลังของอัลฟ่าได้

ในที่สุด เธอก็นึกถึงการยืมมือคนอื่น แฝงตัวเข้าไป แผนการหลอกใช้โจชัวจึงเกิดขึ้น…เมื่อเป็นเมียของคนภายใน อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้น

เธอสืบจนรู้เบื้องลึก ว่าสิ่งใดใช้ ‘ฆ่า’ ชาร์กเบนเดอร์ได้…แม้อแมนด้า แม่ของฉลามขาวจะตายไป หากในระเบียนประวัติของคริมสัน ย่อมระบุชื่อญาติสนิทคนอื่น รู้ว่าใครที่อแมนด้าอยากจะมอบ ‘อาวุธป้องกันตัว’ ให้

ซีบิลได้อาวุธนั้นมาไว้ในมือแล้ว

แค่รอเวลาสังหาร

———

 

ต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน กว่าจะส่งตัวผู้ก่อการร้ายจำนวนมากไปเข้าคุกได้หมด เพราะต้องมีการสืบสวนรายคน ซักถามแรงจูงใจ…บางคนมาพร้อมอาวุธ หากไม่ได้ทำร้ายใคร พวกเขาเพียงแค่มาเพราะเจ้านายบอกให้มา จิตใจไม่ได้โหดเหี้ยมจนลงมือ พวกนี้ซีตัสให้แค่ทำทัณฑ์บนเอาไว้ แล้วปล่อยตัวกลับ

ส่วนพวกไล่สาดกระสุนฆ่าคนอย่างคึกคะนอง ต้องถูกจองจำ

ซีตัสประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง ขอบคุณประชาชนที่เห็นแก่มนุษยธรรมและออกมาช่วยเหลือ ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไปอย่างชื่นมื่น

เมื่อจตุรัสเริ่มโล่งอีกครั้ง โจชัวและคาร์ลจึงได้เผชิญหน้ากับหญิงสาวปริศนา เธอถอดหน้ากาก (mask) ออก ปล่อยลอนผมสีน้ำตาลให้ยาวสยาย

ซีบิลยิ้มบางให้อดีตสามี “…ดีใจที่เห็นคุณปลอดภัย”

โจชัวไม่ได้แปลกใจนัก เขาคุ้นตากับครีบกลางหลังของเธอ…ในวันที่ข่มขืนเขา “ฝีมือเธอทั้งหมดสินะ”

“ไปรษณียบัตรของคุณ เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วทุกเมือง”  หญิงสาวเก็บอาวุธในมืออย่างคล่องแคล่ว “ฉันก็แค่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวเร็วขึ้น พอจะคาดเดาได้ว่าปลายทางต้องไปหาพ่อแม่ของคุณ เลยตามไปหา พาพวกท่านมายังสถานีกระจายเสียง ประกาศให้ทั้งแปซิฟิเซียร์รับรู้พร้อมกัน โชคดีที่ชาร์กเบนเดอร์ไม่ได้อยู่ในเมือง ทุกอย่างเลยง่ายดาย”

ง่ายตรงไหน บุกเข้าไปในสถานีกระจายเสียงล่ะสิไม่ว่า คาร์ลแอบค่อนขอดในใจ


“ฉันควรจะต้องขอบคุณเธอสินะ”  โจชัวแค่นหัวเราะ…มองอดีตภรรยา ที่กลายเป็นคนอื่น…ไม่สิ ตัวเธอที่เคยแต่งงานกับเขาต่างหากคือตัวปลอมตลอดมา

ซีบิลมองหน้าท้องแบนราบของคนตรงหน้า “ลูก…ปลอดภัยไหม”

“คลอดแล้ว…แม้จะถูกชาร์กเบนเดอร์ทำร้ายจนคลอดก่อนกำหนด แต่แข็งแรงดี”  กลายเป็นคาร์ลที่ตอบรับแทนเจ้าของท้อง “ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องห่วง”

อารมณ์ประชดประชันทำให้พูดออกไปเช่นนั้น…แล้วต้องอุทานว่าฉิบหายในใจ เมื่อน้ำตามากมายทะลักออกมาจากดวงตาสีทองสว่าง

โจชัวไม่รู้จะปลอบยังไง และไม่อยากปลอบเท่าไหร่ จึงเลือกใช้คำกลาง ๆ “ยังไงเขาก็เป็นลูกของเธอ…กับฉัน…ใช่ไหม”

“เขาเป็นลูกของคุณจริง ๆ โจชัว” ซีบิลปาดน้ำตา “ฉันสาบาน…เขาคือลูกของคุณ”

คำยืนยันนั้นแค่ช่วยย้ำให้มั่นใจ…โจชัวรู้อยู่แล้วว่าโคลเป็นลูกแท้ ๆ …หน้าเหมือนเขาเสียขนาดนั้น

แต่มีอีกเรื่องที่ค้างคา และต้องการคำขยาย “…แล้วเธอทำให้ฉันตั้งท้องทำไม”

ซีบิลหยุดร้องไห้…ตั้งสติก่อนจะอธิบาย  “ฉันน่ะ คือม้าน้ำรุ่นสุดท้าย…สัญชาตญาณในตัวฉันบอกตลอดเวลาให้หลงเหลือทายาทเอาไว้บนโลกใบนี้ ก่อนที่ฉันจะตาย…แล้วสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ก็เสี่ยงภัยตลอดเวลา”

โจชัวพยักหน้ารับ เป็นเชิงว่าให้พูดต่อ

“และฉันก็ค้นพบโดยบังเอิญ ว่าเวลาพวกเรามีเซ็กซ์กันคุณมีน้ำหล่อลื่นออกมาทางด้านหลัง ฉันแอบตรวจดูตอนคุณหลับ แล้วมั่นใจว่าใช่” หญิงสาวหลบสายตานิดหน่อย เพราะต้องคุยกันต่อหน้าคาร์ล “ฉันจึงปล่อยตัวเองให้ตั้งท้อง…และย้ายลูกทางท่อนำตัวอ่อน…ด้วยอวัยวะเฉพาะของเผ่าพันธุ์”

โจชัวยกมือห้าม ประมาณว่าไม่ต้องเล่าให้ละเอียด เข้าใจแล้ว

ซีบิลบีบมือเข้าหากัน ดวงตาสีทองจ้องตรงมา ไร้แววเสแสร้ง  “…แต่ฉันอยากให้เชื่อไว้ ว่าตอนที่อยู่กินด้วยกัน…แม้ฉันจะรักบุปผา…หากฉันก็มีความรักให้กับคุณด้วย ลูกของเราเกิดจากความรัก”

กับเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เบต้าธรรมดาคนหนึ่งได้รับมา มันหนักหนาเกินกว่าจะให้อภัยเพราะคำว่ารัก

โจชัวคงจะเป็นเช่นนั้น…ไม่ให้อภัยอดีตภรรยา โกรธแค้นสาปแช่งเธอ…ถ้าหากว่าเขาเดียวดาย

แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เดียวดาย…

มือขาวขยับไปกุมมือใหญ่ของคนข้างกาย เหมือนขอกำลังใจ เหมือนอยากจะยืนยันให้คนเคยทำร้ายเห็น

“ฉันจะเชื่อเธอ…”  โจชัวเอ่ยช้าและชัด “เพราะฉันเพิ่งเข้าใจไม่นานมานี้เหมือนกัน…ว่าการรักใครสักคนจนแทบทนไม่ไหวมันเป็นยังไง”

คาร์ลบีบมือนั้นตอบ…รอยยิ้มแห่งความสุขผุดขึ้นบนมุมปาก

ซีบิลกะพริบตาสองสามครั้ง…ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง…พึมพำเสียงเบา “ในที่สุด…”

โจชัวกับคาร์ลได้ยินไม่ชัดนัก จึงทำหน้าสงสัย หากหญิงสาวตัดบท

“ฉันต้องไปช่วยคนรักของฉันบ้างแล้ว”  ซีบิลเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือออกไป “…ขอบคุณ สำหรับช่วงเวลาอันมีค่าที่ผ่านมาร่วมกัน”

โจชัวยื่นมือไปจับมือเธอ บอกลา…และปล่อยไป

หญิงสาวยังไม่ลดมือลง แต่ยื่นมาทางคาร์ลต่อ….เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำใจยื่นไปจับตอบเพราะถูกโจชัวแอบกระทุ้งสีข้าง

“คุณชนะแล้ว” ซีบิลหัวเราะเบา ๆ และหันหลังจากไป…

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day25

16-11-25-01-10-32-887_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 25

Keyword : อิฐบล็อค

Ch 25 : Jan 5, 2017.

 

‘ปลาทูน่า ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ มีความยาวตั้งแต่ปลายหัวจรดหาง 458 เซนติเมตร น้ำหนัก 684 กิโลกรัม โดยปลาทูน่าจัดเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เพราะมีรูปร่างเหมือนตอร์ปิโด สามารถว่ายน้ำได้เร็ว 70-74 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นรองเพียงปลากระโทงแทงซึ่งเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลกเท่านั้น’

-Wikipedia

 

 

แม้จะอยากให้ค่ำคืนอันสุขสมเป็นนิรันดร์ หากดวงตะวันยังคงต้องขึ้นมาใหม่

ทั้งคู่ยอมปล่อยมือจากกันเมื่อท้องฟ้าสว่าง สวมเสื้อผ้าอย่างเงียบ ๆ

โจชัวกลั้นหายใจขณะรูดซิป wetsuit แผลของเขาไม่อักเสบทั้งที่เมื่อคืนเคลื่อนไหวขนาดนั้น นับว่าเป็นเรื่องดี เขาหยิบ Epi Pen อีกหลอดออกมาจากเป้ ฉีดเพิ่มไปอีกครั้ง ดักความเจ็บปวดไว้ก่อน

เพราะวันนี้เรื่องราวคงไม่จบโดยง่าย

เมื่อเช้ามืด สมาร์ทโฟนของคาร์ลสั่นเป็นสัญญาณข้อความเข้า พวกเขาโล่งอกเมื่อเห็นชื่อคนส่ง…พอลปลอดภัยดี เขารอดจนไปสมทบกับผู้ว่าการซีตัสได้ก่อนสองคนทางนี้

หากข่าวที่ส่งมานั้น ไม่ดีเอาเสียเลย…กองกำลังเจ้าหน้าที่เซาท์เทิร์นเนียร์เสียหายหนัก ต้องถอยร่นไปรวมตัวกันยังที่ว่าการ ฝ่ายชาร์กเบนเดอร์นั้นเสียหายน้อยกว่า และกำลังซ่องสุมกำลัง เตรียมบุกเผด็จศึก

ถ้าสำเร็จ ชาร์กเบนเดอร์จะได้ครองเมือง…ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีคนตายจำนวนมากแค่ไหน หากเขาได้ชัยชนะ

“สุดท้ายก็ต้องตัดสินกันด้วยวิธีโบราณ”  คาร์ลถอนหายใจ ยิ้มเยาะกับโชคชะตา “ยกพวกตีกันซึ่ง ๆ หน้า จัดการตัวหัวหน้าฝ่ายไหนได้ก่อนถึงจะจบ”

“ง่ายดีไม่ใช่เหรอ…”  โจชัวยิ้มบาง ใจนึกถึงไปรษณียบัตรมากมายที่เคยส่งไป “…ในเมื่อสิ่งที่หวังมันเป็นไปไม่ได้ ก็เหลือแต่ต้องใช้กำลัง”

สัมภาระส่วนเกินถูกวางทิ้งเอาไว้ หยิบเพียงอาวุธไปราวจะไม่หวนคืน

พวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก แต่จะรอด…รอดกลับไปยังคริมสัน

…เพื่อลูก…

คาร์ลดึงคนรักมากอด จูบลึกล้ำจนสาแก่ใจ

“…เคยรู้ไหม ว่าฉันคิดจะตัดใจจากนายนับล้านครั้ง” ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับไหล่เล็ก “แล้วนายก็ใจร้าย…มองฉันที่กำลังตัดใจมานับล้านครั้ง”

โจชัวรัดแขนรอบแผ่นหลังกว้าง “แต่ครั้งนี้ นายต้องไม่ตัดใจ…นายต้องอยู่ เพื่อฉัน เพื่อโคล”

“รู้รึเปล่า ไม่ว่ามีเหตุผลมากมายแค่ไหน…” คาร์ลกระซิบแผ่วเบา “ขอแค่คำเดียว…แค่นายพูดมาคำเดียว ฉันก็พร้อมจะทิ้งเหตุผลทุกอย่าง”

คำตอบนั้น โจชัวรู้ดีแก่ใจ

และเอ่ยออกไปอย่างซื่อตรง…

“ฉันรักนาย”

เพียงคำเดียวสั้น ๆ ไม่ต้องการอะไรอื่นแล้ว

คาร์ลคลายวงแขนออก หากความอบอุ่นและคำรักจะติดอยู่กับเขาโดยไม่มีวันจางหาย…ชายหนุ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง…รอยยิ้มนี้เองที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ ว่าช่วยโจชัวเอาไว้นับครั้งไม่ถ้วน

สองคนกระชับอาวุธคู่กาย แล้วออกเดินไปเคียงข้างกัน

———

 

เซาท์เทิร์นเนียร์ไม่ค่อยมีพื้นที่โล่งกว้างมากนักนอกจากจตุรัสกลางเมือง…ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสนามรบ

ฟากนึงของจตุรัสมีอาณาเขตใกล้เคียงกับที่ว่าการเมือง จอห์น ซีตัส ตรึงกำลังแน่นหนาอยู่บริเวณนั้น ส่วนอีกฟากมีอาณาเขตติดกับโรงแรมในเครือของชาร์กเบนเดอร์…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถิ่นใคร

พอลดีใจจนแทบกระโดด เมื่อเห็นคาร์ลและโจชัวขับเรือศัตรูที่ยึดได้มาจอดเทียบท่า “พวกนาย! ได้ข้อความแล้วไม่มีตอบกลับเลยนะ มัวแต่ทำอะไรกันอยู่วะ”

คาร์ลนึกได้ เออ ลืมตอบจริง ๆ ด้วย “อ่า…สัญญาณโทรศัพท์มันไม่ค่อยดีน่ะ”

อ้างไปอย่างนั้น จริง ๆ คือต่างคนต่างง่วง และไม่มีแก่ใจจะส่ง อย่างไรเสียหากมาหาพอลได้ก็ดีกว่าข้อความอะไรทั้งหมด

โจชัวผงกศีรษะกึ่ง ๆ ทำความเคารพผู้ว่าการซีตัส ชายสูงวัยกระตุกยิ้มให้เขา ข้างกายมีผู้คุ้มกันทั้งหญิงและชายอย่างแน่นหนา ต่างสวมหน้ากากป้องกันแก๊ซพิษ เผื่อกรณีไม่คาดฝัน

“นายคิดว่าชาร์กเบนเดอร์จะเอาแก๊ซพิษมาใช้ไหม” โจชัวหันไปถามพอล

“ถ้าให้ฉันเดา…ไม่หรอก แก๊ซพิษมันแพง” หัวหน้าทำหน้าครุ่นคิด “ล้อเล่นนะเรื่องแพงน่ะ จริง ๆ คือแก๊ซพิษมันแค่ทำให้ระคายเคืองท่อน้ำตากับระบบทางเดินหายใจ และที่โล่งแจ้งแบบนี้อากาศจะช่วยเจือจาง ทำยังไงเป้าหมายก็ไม่ตายง่าย ๆ …ชาร์กเบนเดอร์คงอยากให้ตายแน่นอนด้วยกระสุน”

ขอบคุณมากสำหรับคำอธิบายที่ชัดเจน แต่โคตรตัดขวัญกำลังใจ คาร์ลไม่ได้บอก แต่ตบหลังพอลไปป้าบใหญ่ เรียกเสียงร้องจ๊ากได้ทันที

“ตรึงกำลังเอาไว้!!! พวกมันไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม!”

เสียงของผู้ว่าการซีตัสดังกังวาน เอ่ยเตือนสติคนของตนเอง

“พวกเราน่ะแข็งแกร่งและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว! ดูทางนั้นสิ! ตัวผู้นำมันยังไม่กล้าโผล่หน้า!”

จบคำ เรือลำหนึ่งแล่นจากโรงแรมมาจอดเทียบท่า…ชาร์กเบนเดอร์ก้าวเท้าขึ้นฝั่งในชุดเสื้อเกราะกันกระสุนและปืนแอสซอลท์ไรเฟิลสีเทาด้าน

ซีตัสเสียจังหวะไปเล็กน้อย…นึกในใจว่าบริเวณที่ตนยืนอยู่มีเครื่องดักฟังหรือเปล่า อีกฝ่ายถึงออกมาหักหน้ากันได้อย่างรวดเร็วแบบนี้

หากท่านผู้ว่าฯไม่ยอมเสียขวัญ  “พวกเราคือความยุติธรรม!!! พวกเราจะปกป้องประชาชน!!! จงสู้!!!”

เสียงเฮดังขึ้นจากกองกำลังแห่งเซาท์เทิร์นเนียร์ ความฮึกเหิมมาเต็มที่

จนกระทั่งเสียงของชาร์กเบนเดอร์กรรโชกมาจากอีกฝั่ง

“พอล!!!”  

สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหนุ่มเจ้าเนื้อผู้ยืนไม่ห่างจากผู้ว่าการนัก

“กลับมาซะ แล้วฉันจะยกโทษให้”

เจ้านายยื่นโอกาสครั้งสุดท้าย

หากลูกน้องยิ้มกว้าง โบกมือไปมา

“ไม่”

เกิดความเงียบครอบคลุมไปทั่วจตุรัส

ซีตัสตัดสินใจทำลายบรรยากาศนั้น “ตั้งรับให้พร้อม! อย่าประ—–”

/ตูม!!!!/

ระเบิดลูกแรกถูกเขวี้ยงข้ามฝั่งมาด้วยน้ำมือของชาร์กเบนเดอร์ วิถีของมันไม่ไกลพอมาถึงแนวหน้า แต่ก็ขุดเอาพื้นขึ้นมา เศษหินปลิวอัดเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน

“ไอ้ฉลามไม่มีอารยธรรม!!! ไอ้อัลฟ่าไม่รู้จักมารยาทสงคราม!!!” ซีตัสโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ยิงถล่มพวกมัน!!!!”

กองโล่กันกระสุนออกมาตั้งรับสองแถวในแนวหน้า หน่วยปืนซ้อนอยู่แถวหลัง คอยสลับกันลุกขึ้นยิงโจมตีอย่างมีแบบแผน ตรงข้ามกับกองกำลังของชาร์กเบนเดอร์ บางส่วนพอกเครื่องป้องกันไว้หนาเตอะ จึงกล้าบ้าบิ่นพอจะวิ่งเข้าประชันหน้า กราดกระสุนเข้ามาเป็นระลอก

“พอล!!!” คาร์ลดึงรุ่นพี่ให้เข้ามาหลบหลังโล่อันใหญ่ที่เขาตั้งไว้กันตัวเองกับโจชัว พวกเขาตั้งรับอยู่ปีกขวา ใกล้กับริมน้ำ “เมื่อวานฉันเจอเอ็ดดี้! เขากับพวกอีกจำนวนหนึ่งคอยให้ความช่วยเหลือพวกเราอยู่”

“เรื่องนั้นนายไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”  พอลยักไหล่ขณะใส่กระสุนลงปืนกลคู่ชีพ “พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมสงครามนี้ เลยพากันหนีออกจากที่พักตั้งแต่เมื่อคืน ชาร์กเบนเดอร์หัวเสียใหญ่ สะใจโคตร”

“มิน่าวันนี้เจ้านายถึงได้ดูดุร้ายเป็นพิเศษ”  โจชัวกลอกตา ในมือกำลังขึ้นลำ sniper rifle อาวุธถนัด “เดี๋ยวจะกล่อมให้หลับโดยไว”

“…เอาแค่หลับนะ อย่าเพิ่งให้ถึงตาย หมอนั่นยังมีคดีต้องสะสาง” พอลบอกเสียงพึมพำ

Sniper rifle นั้นระยะโจมตีและความแม่นยำสูงกว่า Assault Rifle หากแลกมาด้วยความไม่คล่องตัวอย่างมากเพราะน้ำหนักมหาศาล และยิงได้เพียงครั้งละนัด คาร์ลรู้ดีว่าเขามีหน้าที่ปกป้องโจชัวในขณะที่อีกฝ่ายขึ้นลำเพื่อยิงนัดต่อไป

“ขึ้นมาขี่ฉันเลยที่่รัก” คาร์ลบอก เขาถือโล่รับแรงปะทะจากกระสุนศัตรูโดยไม่สั่นคลอน ย่อขาลงให้หัวไหล่ต่ำกว่าขอบโล่เล็กน้อย

“…ทะลึ่ง”  โจชัวด่าเข้าให้ แล้วพาดขาตั้งปืนไว้บนบ่าคนตรงหน้า ยกเท้าขึ้นเหยียบต้นขาของคาร์ล ใช้เข่าตนเองดันใต้ศอกเพื่อพยุงปืนให้อยู่นิ่ง แล้วเหนี่ยวไก

เปรี้ยงแรก เก็บคนที่ใส่ชุดเกราะซึ่งยืนคุมฐานปืนกลหนักได้ทันที

โจชัวยกปืนลงจากไหล่คาร์ล มุดเข้าใต้โล่ หลบการยิงสวนได้อย่างเฉียดฉิว ส่วนพอลผลุบ ๆ โผล่ ๆ ซ้ายทีขวาที กราดปืนกลใส่ทุกคนที่คิดจะเข้ามาใกล้

ทีมเวิร์คของพวกเขาน่ะ ไร้เทียมทาน

…เคยคิดอย่างนั้น จนโล่ที่่ตั้งยันเอาไว้ถูกถีบจนเกือบหลุดมือ ด้วยลำแข้งของอัลฟ่าสุดโหด

ผมสีน้ำแดงของชาร์กเบนเดอร์ ตอนนี้ยุ่งเหยิงราวกับเปลวเพลิงลุกไหม้ ศัตรูตัวฉกาจพุ่งมากระชากแขนของพอล ชกบริเวณท้องแขนจนปืนกลหลุดร่วง

แล้วต้องปล่อยมือและโดดหลบแทบไม่ทัน เมื่อคาร์ลเหวี่ยงโล่เข้าใส่ ฉลามขาวตวัดเท้าเตะเข้าข้อมือของคนโจมตี โล่หลุดจากมือตกพื้นดังเปรื่องใหญ่ แมคเคอเรลไม่ยอมเสียท่าซ้ำ กระโดดถีบเข้ากลางอกเจ้านายจังเบอร์

ชาร์กเบนเดอร์กระอักลมหายใจ ต้องถอยไปหลายก้าว…ปากแสยะยิ้มชั่วร้าย ปืนพกเก้ามิลลิเมตรถูกชักออกมาจากข้างเอว จ่อไปยังหัวของคาร์ล

กระสุนลั่นจนแก้วหูสั่น หากผู้ถูกยิงไม่ใช่คาร์ล กลับกลายเป็นชาร์กเบนเดอร์ที่ถูกทะลวงข้อมือข้างที่ถือปืนจนทะลุ

โจชัวนั่งชันเข่าคานน้ำหนักปืน ชักปลอกกระสุนออก ขึ้นลำอย่างชำนาญพร้อมยิงอีกครั้ง

อดีตเจ้านายเซถอยหลังไป หนังบนแขนสองข้างเปลี่ยนเป็นสีเทาด้าน ชาร์กเบนเดอร์สูดลมหายใจหนัก ๆ สามสี่หน ก่อนจะคำรามลั่น!!!

พลังของอัลฟ่าที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่าแผ่พุ่งออกมานั้น โจมตีจิตใจของเบต้าทุกคนให้ขวัญผวา…หากที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือโอเมก้า ต่างกรีดร้องดิ้นทุรนทุราย กลายเป็นเหยื่อให้ฝั่งตรงข้ามสังหาร…

สไนเปอร์กระบอกใหญ่หลุดจากมือโจชัว มดลูกโอเมก้าในท้องราวกับจะฉีกขาด เขาทรุดลงคว่ำไปกับพื้นหิน กรีดร้องอย่างทรมาน

พอลตั้งสติแล้วคว้าโล่พุ่งเข้าใส่ หมายจะฟาดเจ้านายให้สลบคาที่ หากชาร์กเบนเดอร์ในขณะนี้ไม่ได้สะเทือนต่อการโจมตีเลย เขายกแขนขึ้นกันโล่เอาไว้ ก่อนจะฟาดพอลจนล้ม แล้วก้มลงจะคว้าร่างอดีตลูกน้อง

คาร์ลหยุดการกระทำนั้นเอาไว้ด้วยการพุ่งชาร์จ รวบร่างของชาร์กเบนเดอร์ให้ร่วงตกลงไปในผืนน้ำข้าง ๆ ด้วยกัน เมื่อเจ้าของพลังไม่สามารถกระจายคลื่น ผู้คนบนบกจึงรอดพ้นจากอิทธิพล นั่นคือสิ่งที่คาร์ลหวังเอาไว้

เหตุการณ์บนบกกลับสู่ปกติ หากใต้น้ำ…กำลังฟาดฟันกันดุเดือด

หมัดแลกหมัด เข่าแลกเข่า ฉุดกระชากกันไปมา คาร์ลเสียเปรียบเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีกำลังกายด้อยกว่า แต่เขาสู้ยิบตาแม้ต้องแลกด้วยชีวิต

ชาร์กเบนเดอร์นั้นอยากจะซัดเจ้าปลากาก ๆ ตรงหน้าให้เละ ติดตรงที่เขามีแผลฉกรรจ์ ไม่สามารถออกแรงที่่ข้อมือได้ แผนการจึงเปลี่ยนไป…ฉลามขาวเลิกดิ้นรน ปล่อยให้แมคเคอเรลล็อกเขาเอาไว้จากด้านหลัง ทำตัวเป็นหิน ถ่วงทั้งคู่ให้จมลงไปเรื่อย ๆ

ด้วยความเป็นอัลฟ่าของเผ่าพันธุ์ฉลาม ทำให้กลั้นใจได้ถึงยี่สิบนาที อย่างไรก็ไม่มีทางขาดใจตายก่อนเบต้าแมคเคอเรลที่ดำน้ำได้เพียงสิบนาที

เขาเพียงแค่รอให้ศัตรูขาดใจตายลงไป…อย่างช้า ๆ ….

สิบนาทีผ่านไป

ร่างของคาร์ลกระตุกสั่นอย่างห้ามไม่ได้…หากมือที่ยังพันธนาการไว้ไม่ยอมคลายออก

ชาร์กเบนเดอร์แสยะยิ้ม…รอคอยให้อีกฝ่ายขาดอากาศจนตาย ถึงตอนนั้นค่อยแกะศพออกแล้วขึ้นสู่ผิวน้ำ

สิบห้านาทีผ่านไป…

ร่างข้างหลังแน่นิ่ง…ชาร์กเบนเดอร์ทดลองขยับ แต่เขายังสลัดไม่หลุด หากก็ไม่ใจร้อนเพราะต้องออมแรงไว้ เผื่อตอนว่ายขึ้นด้านบน

ยี่สิบนาทีผ่านไป…

…ความอึดอัดพุ่งเข้าโจมตีในช่องอก อากาศในปอดของฉลามขาวหมดลงแล้ว แต่ศพด้านหลังยังคงเกาะติด ชาร์กเบนเดอร์ตัดสินใจสลัดออกสุดแรง ทว่า แม้แขนจะลื่นหลุดหากมือยังกระชับแขนเขาไว้แน่นหนา

แล้วต้องช็อกจนสำลักน้ำไปหลายอึก เมื่อหันไปพบว่า คาร์ลยังมีชีวิตอยู่

ด้วยสภาพหัวเป็นปลา!!!

คาร์ลหัวปลาแสยะยิ้ม (ด้วยปากปลา) ร่องเหงือกข้างหัวพ่นฟองอากาศพวยพุ่ง…เมื่อวันที่โคลเกิดนั้น เขามีกำหนดต้องกินโอเมก้าทรี แต่เขาได้ไอเดียนี้มาจากการเห็นสภาพของพี่น้องวาฬ เขาจึงกินมันเข้าไปเพียงครึ่งนึงของปริมาณปกติ…ไม่นึกว่าจะมีวันนี้…วันที่เขาต้องยืมพลังของการกลายพันธุ์

ชาร์กเบนเดอร์ดิ้นรน เขากำลังจะขาดอากาศหายใจตาย ในขณะที่ไอ้หัวปลาผีเปรตตรงหน้าจะแช่อยู่ในน้ำนานแค่ไหนก็ได้!!!

แต่คาร์ลไม่ได้อำมหิตเหมือนอดีตเจ้านาย มนุษย์หัวปลาเงื้อหมัด เรี่ยวแรงของพวกกลายพันธุ์นั้นแข็งแกร่งแค่ไหนอีกฝ่ายน่าจะรู้…และเขาเลือกจะซัดใส่อย่างไม่ปรานี

……

……………

……………….

บนบก โจชัวกำลังขวัญเสีย เมื่อคาร์ลจมน้ำหายไป

ก่อนจะแทบหัวใจวายตาย เพราะหัวปลาที่ทะยานพรวดขึ้นมาพ้นผิวน้ำ คาร์ลเหวี่ยงร่างไร้สติของชาร์กเบนเดอร์ขึ้นฝั่ง พอลพุ่งเข้าไปรวบจับและตรวจเช็ค…คนร้ายยังมีลมหายใจ

ศัตรูตัวหลักถูกปราบลงแล้ว

ทว่า…สงครามของสองฝ่าย บานปลายจนยากจะหยุด ฝ่ายของซีตัสเสียเปรียบแต่แรกด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า พวกเขาล่าถอยกลับมาตามคำสั่งผู้ว่าฯ ตั้งรับกองกำลังที่มีอาวุธเยอะกว่าอย่างหวาดหวั่น

จนกระทั่งมีใครคนหนึ่ง…ว่ายน้ำมาขึ้นฝั่งตรงกึ่งกลางสนามรบ สร้างความงุนงงให้ทุกฝ่ายจนทุกอย่างหยุดชะงัก

“คุณซาร์ดีนกับคุณแมคเคอเรลอยู่ฝั่งไหน”  หญิงสาวในหน้ากากถาม ครีบที่โผล่ออกมาจากสันหลัง บ่งชัดว่าเธอเป็นพวกกลายพันธุ์

คาร์ลยกมือ แต่ลืมไปว่าพูดไม่ได้ โจชัวจึงออกรับ “ทางนี้”

“จดหมายจากพวกคุณ ส่งถึงทุกคนแล้ว”  

โจชัวยกมือขึ้นกุมอก…รู้สึกสมปรารถนา

หากในเวลานี้ มันสายเกินไปไหม

“ฮ่ะ ๆ ๆ ….”  เสียงหัวเราะอย่างอ่อนแรงนั้น ดังมาจากชาร์กเบนเดอร์ที่ฟื้นแล้ว “กำลังเสริมเหรอ…แค่ก้อนอิฐไร้ค่าอย่างพวกกลายพันธุ์ที่ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ จะช่วยอะไรได้”

“สำหรับคุณ พวกเราคงจะไร้ค่าจริง ๆ นั่นแหล่ะ”  หญิงสาวปริศนาหยิบปืนขึ้นมากระบอกหนึ่ง ชี้ขึ้นฟ้า “…แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่า…ก้อนอิฐบล็อคน่ะ เวลาก่อเข้าด้วยกันแล้วมันแข็งแกร่งแค่ไหน”

กระสุนนัดหนึ่งยิงขึ้นไปในอากาศ แตกออกเป็นพลุสีแดงฉานย้อมฟ้า…แล้วค่อย ๆ สลายไปกับสายลม

ไม่นานนัก…เสียงคลื่นน้ำกระเพื่อมไหวเริ่มกระทบรอบจตุรัส…เรือพายนับร้อย…พัน….หมื่น…อาจจะมากกว่านั้น โอบล้อมเข้ามา

“พวกเราเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดา อาวุธอนุภาพร้ายแรงคงหามาครอบครองไม่ได้” หญิงสาวเก็บปืนพลุ ดึงอีกกระบอกขึ้นมา “แต่ถ้าเป็นปืนพกสำหรับป้องกันตัว บ้านนึงคงมีอยู่หลายกระบอก”

เสียงปลดเซฟตี้ปืนพกอาจจะไม่น่าเกรงขาม หากเมื่อทำพร้อมกันนับหมื่นนับพัน..กลับทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง

โดยเฉพาะพวกกองกำลังของชาร์กเบนเดอร์ ที่ทยอยวางอาวุธลงข้างตัว…ยกมือยอมแพ้

โจชัวน้ำตารื้น…นอกจากปากกระบอกปืนจำนวนมหาศาลแล้ว มีบางอย่างโบกไสวไปมาจากบนเรือของเหล่าประชาชน

ไปรษณียบัตรที่เขากับคาร์ลช่วยกันส่งออกไปนั่นเอง

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day24

16-11-25-01-00-41-278_deco

ตอนเก่าๆค่า

หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)

Day 24

Keyword : ไฟถนน

Ch 24 : Jan 4, 2017.

‘ปลาฉลามขาวถือว่าเป็นปลาฉลามที่มีเลือดอุ่นหนึ่งในหกชนิดที่เป็นที่รู้จัก โดยปลาฉลามขาวมีระบบการเผาผลาญแตกต่างไปจากปลาฉลามทั่วไป ที่ความร้อนจะสูญเสียไปในเหงือกและผิวหนัง แต่ปลาฉลามขาวมีการวางตัวของเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำที่มีลักษณะเฉพาะช่วยให้การถ่ายเทความร้อนระหว่างเลือดอุ่นและเลือดเย็น ทำให้แกนกลางลำตัวรักษาความร้อนไว้ได้ กอรปกับมีการวางตัวกล้ามเนื้อแดงอุ่นที่บริเวณกลางลำตัว โดยมีระบบแลกเปลี่ยนเป็นตัวช่วยลดการสูญเสียความร้อนผ่านผิวหนังลง ช่วยให้ปลาฉลามขาวมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส อย่างคงที่แม้ว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม จึงสามารถทำให้ว่ายน้ำและล่าเหยื่อในที่ ๆ ลึกหรือมีอุณหภูมิต่ำจนเย็นยะเยือกได้’

-Wikipedia

หนึ่งในผู้ก่อตั้งแห่ง United เคยกล่าวเอาไว้ ว่านับแต่สถาปนารัฐแห่งนี้ แผ่นดินจะไม่มีวันลุกเป็นไฟอีก

เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ คือ น้ำ

…เป็นตลกฝืดและแป๊กที่สุดในประวัติศาสตร์มาหลายชั่วอายุคน…

แต่ในวันนี้ วิญญาณท่านผู้ก่อตั้งคงจะต้องถอนคำพูดเสียใหม่…เพราะแม้ไม่มีแผ่นดินเหลือเยอะให้ไฟลุก หากสิ่งก่อสร้างอัดแน่นไปทั่วทุกพื้นผิวนั้นคือเชื้อไฟลอยน้ำ

และตอนนี้ ฟืนที่ชื่อบ้านเรือนและอาคารกำลังลุกไหม้ เพราะสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลและกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

กองเรือยนต์ของชาร์กเบนเดอร์กลายเป็นฝันร้ายของประชาชน แม้จะไม่มีคำสั่งให้ปล้นฆ่า หากการลาดตะเวนค้นหาก็ส่งผลกระทบไปทั่ว บ้านและร้านค้าถูกรื้อค้นเสียหาย เหตุการณ์ยิ่งบานปลายเมื่อเจ้าหน้าที่ของผู้ว่าการเมืองออกมาปราบปราม แต่ถูกโจมตีสวนกลับ จึงเปิดฉากทำลายล้างกันอย่างเต็มรูปแบบ

พอลรับหน้าที่ขับเรือของเพ็ททูเนีย พยายามหาทางเข้าไปให้ถึงตัวของชาร์กเบนเดอร์ ทว่าเจ้านายผู้ร้ายกาจกลับซ่อนเร้นไม่ยอมเผยตัว พวกเขาตะเวนทำลายเรือยนต์ไปนับไม่ถ้วน หากเหมือนยิ่งจมลงไปเท่าไหร่ กำลังเสริมยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเท่านั้น

“ดูเหมือนกำลังพลของซีตัสจะเสียเปรียบอยู่” คาร์ลตั้งข้อสังเกต ขณะโดดลงไปในเรือศัตรูลำล่าสุดที่จัดการได้ หยิบฉวยเอาปืนและเครื่องกระสุนที่เหลืออยู่ โยนกลับไปเรือของพวกตน

โจชัวรับอาวุธที่อีกคนโยนมา คัดเลือกที่ยังใช้ได้ รีโหลดให้พร้อมแล้วสะสมไว้ในกระเป๋าสัมภาระเป็นอาวุธสำรอง  “แหงล่ะ รัฐบาลขี้ตืดจะไปมีกองเรือจำนวนมหาศาลแบบบริษัทเอกชนได้ยังไง”

“พูดแล้วเจ็บจี๊ดเลยแฮะ”  พอลเอนหลังพักผ่อนชั่วคราว “…ใครจะไปนึก ว่าบริษัทที่ทำงานด้วยและยกย่องบูชา จะกลายมาเป็นภัยคุกคามขนาดนี้”

คาร์ลแค่นหัวเราะพลางคิดตาม…เรื่องมันเริ่มจากอะไรกันนะ อ้อ เริ่มจากโจชัวตั้งท้อง…

วันเวลาอันปกติธรรมดาของเขาหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนจากถือปืนคุ้มกันสินค้า เป็นการเหนี่ยวไกปืนสู้กับพนักงานบริษัทเดียวกัน

หากเขาไม่เสียใจสักนิด ที่ชีวิตต้องพลิกผันขนาดนี้ เพราะตลอดทางที่เขาเดินผ่านพร้อมกับโจชัว ได้พบเห็นความอยุติธรรมมากมาย…รับรู้จากประสบการณ์ตรงคือการถูกเหยียดหยามเมื่อกลายพันธุ์ ทั้งที่รักษาได้ หากยังมีคนมากมายเลือกจะรังเกียจเดียดฉันท์

นอกจากนั้น ระหว่างอยู่ในคริมสันเขายังได้รับฟังเรื่องราวของเหล่าผู้ลี้ภัย…ไม่ใช่แค่ชาร์กเบนเดอร์ หากกลุ่มผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่ต่างใช้อำนาจกันอย่างสุดโต่ง เพียงเพราะเหล่าอัลฟ่ามีกายภาพและพลังธรรมชาติอันเหนือกว่า จึงเอารัดเอาเปรียบแทบทุกทาง ซ้ำยังพยายามกำหนดบทบาททางสังคมตามแต่ตนพอใจ

โอเมก้ามากมายถูกฉุดคร่าไป โดยไม่สนว่าเดิมจะมีคนรักหรือไม่ ในคริมสันนั้น คาร์ลเจอคู่รักที่เป็นโอเมก้าเหมือนกัน เจออัลฟ่าที่เป็นภรรยาของเบต้า ได้พบเห็นความสัมพันธ์อันหลากหลายที่ไม่ได้ถูกจำกัดให้เป็นไปตามวิถีของ ‘เพศสภาพ’

พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หากต้องหลบลี้หนีออกมาเพราะผิดแผกจาก ‘สังคม’ ที่เหล่าผู้มีอิทธิพลตั้งบรรทัดฐานเอาไว้

เส้นหมึกที่ไม่ได้ลากตรงตามขอบไม้บรรทัด จัดว่าเป็นเส้นหมึกที่เสียเปล่าหรือไม่…หากไม่ได้เป็นเส้นตรงจะหมดคุณค่าหรือเปล่า…หากไม่เสียหลักหลุดออกมา จะได้สร้างเส้นโค้ง วงกลม หรือลวดลายใหม่ ๆ ไหม

เขาจะสู้ เพื่อรักษาความหลากหลายอันสวยงามเหล่านั้นเอาไว้

นั่นคือปณิธานของเบต้าธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยการล้มล้างผู้มีอิทธิพล

…แต่ก่อนอื่น ต้องเอาชีวิตรอด

พอลกำลังเอนหลังกับเบาะคนขับ หากหูตาไม่ได้ประมาท เขาแว่วเสียงน้ำกระเพื่อมมาจากโค้งด้านหน้า จึงรีบบอก “มีเรือกำลังตรงมาทางพวกเรา เตรียมรับมือ”

คาร์ลกระโดดกลับมาบนเรือของเพ็ททูเนีย โจชัวปลดเซฟตี้ปืนรอ พอลขับเรือออกไปช้า ๆ

ทว่าสิ่งที่โผล่พ้นโค้งออกมา ไม่ใช่เรือยนต์หน้าตาธรรมดา หากเป็นเรือรบมีหลังคาพร้อมเครื่องยิงระเบิด

“ไอ้ฉิบหาย!!!!” พอลอุทานพร้อมตบคันเกียร์แล้วหักพวงมาลัยไปขวาสุดแรง เรือเอี้ยวตะแคงจนแทบคว่ำ

ระเบิดลูกแรกพุ่งเฉียดท้ายเรือ อัดเอามวลน้ำสาดกระหน่ำ คาร์ลคว้าโจชัวเอาไว้ทันก่อนจะกระเด็นตกเรือ

“ให้ไวเลยพอล ให้ไว!” หนุ่มแมคเคอเรลตะโกนเร่ง เมื่อเห็นว่าเรือลำเดิมไล่ตามไม่ลดละ

โจชัวประทับปืนขึ้นบ่า ยิงสวนไปหลายนัดก่อนสบถ “บ้าเอ้ย! กระจกหน้ามันกันกระสุน”

“ลำละหลายล้าน UD เลยนะนั่น ชาร์กเบนเดอร์ลงทุนเป็นบ้า”  พอลแค่หัวเราะ แล้วกระชากเกียร์จนเรือกระโจน

ระเบิดลูกที่สองตามมาทันทีที่เร่งเครื่องหนี คราวนี้มันเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น คาร์ลหิ้วโจชัวถอยหนีมาเกือบติดเบาะนั่งพอล เพราะท้ายเรือโดนระเบิดจนขอบหาย

“เป็นอย่างนี้ไม่ไหวแน่….”  คนขับบ่นพึมพำ เพราะเครื่องเรือขนาดเล็กและบรรทุกคนเอาไว้ถึงสาม การหลบหลีกจึงดูจะเป็นเรื่องยากยิ่ง “คาร์ล โจชัว เดี๋ยวพอฉันกลับลำเรือ พวกนายรีบโดดหนีไป”

“แล้วนายล่ะ!” คาร์ลทำหน้าไม่ยอมรับคำสั่ง

“พวกนายลงไปเรือจะได้เบา ไม่คิดว่าฉันจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นเหรอวะ”  พอลหันมาแยกเขี้ยว ประเมินสถานการณ์ด้านหลัง “เรือลำนี้ทนความเสียหายอีกไม่ได้แล้ว ไปซะ!!! ฉันเอาตัวรอดได้แน่”

โจชัวประเมินได้แบบเดียวกัน “พอลพูดถูกแล้ว ถ้าไม่สละเรือตอนนี้พวกเราได้กอดคอกันตายแน่ เชื่อใจหัวหน้าหน่อย”

คาร์ลไม่มีทางเลือก ได้แต่ทุบกราบเรืออย่างเจ็บใจ  “…ระวังตัวด้วยนะพอล”

“คิดว่าฉันเป็นครายยยยย เดี๋ยวฉันก็หาพวกนายเจอเองน่า”  หนุ่มตุ้ยนุ้ยลากเสียงยียวน “ไม่มีเวลาแล้ว โจชัวส่งปืนกลมา! เดี๋ยวฉันจะหักเลี้ยวกลับหลัง พวกนายเตรียมหนี!”

ไม่ถึงอึดใจ ปืนกลเบาพร้อมกระสุนเต็มแม็กกาซีนก็ส่งถึงมือพอล คนขับนับถอยหลังอย่างมั่นคง…สาม…สอง…หนึ่ง…

พวงมาลัยถูกหักจนหมุนคว้าง เรือพลิกตะแคงแล้วหันกลับด้านจนครบรอบ คาร์ลกอดโจชัวเอาไว้แน่น กระโดดหนีโดยอาศัยแรงเหวี่ยงของเรือช่วย เขาหันเอาแผ่นหลังลงน้ำ รับแรงกระแทกทั้งหมดแทนคนที่กอดไว้แนบอก เล่นเอาชาไปเหมือนกัน

สองคนดำลงใต้น้ำ มุดไปโผล่บริเวณข้างอาคารที่ใช้กำบังสายตาจากศัตรูได้ เพราะน้ำหนักเรือเบาลง พอลจึงเร่งความเร็วซิ่งเรือสวนไปอย่างรวดเร็ว สร้างความแตกตื่นให้กับเรือรบ พวกมันรีบกลับลำไล่ตาม

ห่วง แต่ก็ต้องเชื่อใจในตัวของพอล…คาร์ลพาโจชัวไปหาที่หลบซ่อนใหม่ รอคอยโอกาสต่อ

———

เวลาค่ำคืนมาถึง

เสียงปืนซาลงบ้าง หากการต่อสู้ไม่จบลงง่าย ๆ บริเวณต่าง ๆ ในเมืองยังเต็มไปด้วยการปะทะ

เพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็น ทำให้คาร์ลและโจชัวต้องเปลี่ยนมาเดินทางบนบกเป็นหลัก พวกเขาจัดการกับหน่วยไล่ล่าไปนับไม่ถ้วนจนเริ่มอ่อนล้า

คาร์ลประคองโจชัวเดินหลบในเงามืด กระสุนปืนที่ร่อยหรอทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยนัก พวกเขาพยายามเลี่ยงการต่อสู้โดยไม่จำเป็น

แต่ทำได้ลำบากนัก ในที่สุดก็เจอเข้ากับชายในชุดฟอร์มบมจ.ชาร์กเบนเดอร์คนหนึ่ง คาร์ลออกตัวบังอีกคนโดยอัตโนมัติ

ทว่ากลับได้ยินเสียงทักแทนเสียงปืน “คาร์ล!”

เจ้าของชื่อชะงัก ไม่ได้ลดการ์ดลง จนกระทั่งอีกฝ่ายถอดแว่นดำและผ้าพันปกปิดใบหน้าออก

“เอ็ดดี้!” ชายหนุ่มเรียกชื่ออดีตเพื่อนร่วมงาน

“โจชัวก็อยู่ด้วย! โชคดีชะมัดที่เจอพวกนายก่อน”  เอ็ดดี้เก็บปืน เดินตรงเข้ามาหา สีหน้าร้อนใจ “พวกฉันได้รับคำสั่งให้ออกมาไล่ล่าคนร้ายฆ่าคนคือนายกับโจชัว บอกตามตรงว่าเชื่อไม่ลง แต่อย่างว่า เจ้านายสั่งมาพวกเราจะทำยังไงได้นอกจากทำตาม แต่ว่านะ…”

โจชัวออกมายืนข้างคาร์ล ไต่ถามอย่างร้อนใจ “ว่ายังไง”

“ถึงเจ้านายจะบอกแบบนั้น แต่ข่าวลืออีกทางมันไม่ใช่”  เอ็ดดี้ล้วงเสื้อแจ็กเก็ตบริษัท ไปรษณียบัตรถูกหยิบออกมา “พวกนายต่างหากที่เป็นเหยื่อ”

…กระดาษยับย่นใบเดียวนั้น ดั่งเชื้อไฟให้ความหวังของพวกเขาได้ไปต่อ

“ไปรษณียบัตร…ส่งถึงพวกนายแล้วเหรอ” คาร์ลถาม ‘เอ็ดดี้ อาร์ ซาร์ดีน’ คือชื่อจริงของคนตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่ญาติสนิทของโจชัว

“นอกจากฉันแล้วก็มีอีกเยอะเลย พวกเราอยากรู้เรื่องต่อเลยไปตามพวกนามสกุลแมคเคอเรลกับซาร์ดีนทั้งหมดในบริษัทมา ตอนนี้เลยเกิดสมาคมลับ ๆ ตามหาพวกนาย…เสียดายที่หน่วยทหารส่วนใหญ่เป็นนามสกุลอื่น ไม่งั้นพวกเราคงหยุดสงครามนี้ไปแล้ว”

น่าเสียดายดังที่เอ็ดดี้ว่า แต่แค่นี้ก็ดีเหลือหลาย ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งพวกเขาเริ่มต้นไม่ได้สูญหายไปกับอากาศ ข่าวกำลังแพร่กระจายไป หวังว่ามันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง

“แค่นี้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้วเพื่อน” โจชัวยื่นมือไปบีบบ่าเพื่อนร่วมนามสกุล

“นายไม่ท้องโตแล้ว คลอดแล้วเหรอ”  เอ็ดดี้ถามด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะเพื่อน”

“ใช่….”  ถึงตรงนี้ คนได้รับความยินดีกลับยิ้มไม่ออก

คาร์ลรีบเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น  “ดีใจที่ได้เจอนายนะเอ็ดดี้ แต่พวกเรารีบแยกย้ายกันเถอะ”

“เออ! ฉันเกือบลืมไปเลยว่าเนียนมาลาดตะเวนเพราะอะไร”  เอ็ดดี้เปิดกระเป๋าแจ็กเก็ตอีกรอบ หยิบเอาแผนที่เมืองเซาท์เทิร์นเนียร์ออกมากาง “ฉันอาจจะเดินไปส่งพวกนายไม่ได้เพราะต้องกลับไปรายงานตัวต่อหัวหน้า แต่ในแผนที่นี้ฉันมาร์กจุดเอาไว้ให้แล้วว่าปลอดภัย ทุกคนช่วยกันรายงานว่าไม่พบผู้ต้องสงสัย พวกนายเข้าไปหลบได้ตามสะดวก”

คาร์ลอยากจะดึงเพื่อนมากอดแรง ๆ “โคตรเจ๋งเลย…ฉันเป็นหนี้พวกนายทุกคนแล้ว”

“พวกเราทำไปเพราะมนุษยธรรมหรอกนะ ต่อให้คนละนามสกุลกัน ฉันก็จะช่วย”  เอ็ดดี้ยิ้มแฉ่ง ปลดถุงกันน้ำใบหนึ่งออกจากเป้มาส่งให้ “ส่วนนี่เสบียงส่วนของฉัน เอาไปกินซะ”

โจชัวรับถุงนั้นมาถือ “สัญญา…หากทุกอย่างคลี่คลาย ฉันจะไม่ลืมบุญคุณนี้”

“อย่าทำซึ้งมาก บอกตามตรงว่าไม่ชิน ฮ่าๆๆๆ”  ซาร์ดีนหนุ่มตบบ่าเพื่อนทั้งสอง  “เอ้า! ไปได้แล้ว ไว้รอดมาค่อยเลี้ยงเหล้าพวกเรา!”

….

………..

…………….

เอ็ดดี้กลับไปในทางที่มา ส่วนคาร์ลกับโจชัวมุ่งหน้าไปยังจุดปลอดภัย

พวกเขามาถึงซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง อดีตอาจจะเคยเป็นที่อยู่อาศัย แต่ร้างไปเพราะเหตุผลบางอย่าง…ผนังมีไม่ครบสี่ด้าน ลมหนาวพัดกรูเกรียว หากพื้้นปูนยังแห้งสะอาด

สองคนจัดการเสบียงที่ได้มาอย่างหิวโหย อาศัยน้ำในเป้นั้นทั้งดื่มกินและชุบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดร่างกาย wetsuit ถูกถอดผึ่งเอาไว้ เปลี่ยนเป็นชุดสำรอง

สิ่งที่คาร์ลห่วงที่สุด คือแผลผ่าตัดของโจชัว เขากึ่งบังคับให้อีกคนมานั่งตรงหน้า ถลกเสื้อผ้าให้ทำแผลใหม่

ไฟถนนจากภายนอกส่องเข้ามา มือใหญ่ลากยาฆ่าเชื้อผ่านรอยเย็บบนหน้าท้องขาวอย่างเบามือ…แผลของโจชัวอักเสบขึ้นมาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวช่างทรหดอดทน ไม่ปริปากแม้เพียงนิด

“นาย…ไม่ควรมาเสี่ยงเลย” คาร์ลยังคงยืนยันความคิดนี้

“ฉันเต็มใจ” คนเสี่ยงบอกด้วยเสียงมั่นคง “และตัดสินใจดีแล้วด้วย”

อยากจะเถียง อยากจะไล่อีกฝ่ายให้ตรงกลับไปยังคริมสัน…แต่คิดในแง่กลับกัน หากเขาเป็นโจชัวก็คงจะเลือกแบบนี้…เลือกที่่จะสู้แทนที่จะหลบ เลือกที่จะเคียงข้าง แทนที่จะห่างกันไกล

ระยะเวลาไม่ถึงเดือนที่อยู่ใกล้ชิดทุกวัน….สร้างความผูกพันที่ไม่มีวันแยกกันได้

คาร์ลก้มลง แนบหน้าผากกับคนตรงหน้า…มือของโจชัวยกขึ้นมาสัมผัสข้างสันกรามของเขา ลูบไล้ไปยังด้านหลังต้นคอ…เหนี่ยวนำให้โน้มลงมา

ริมฝีปากทั้งคู่แนบประกบ…จูบนี้ โจชัวเป็นคนเริ่ม…ครั้งแรก

แขนใหญ่ดึงร่างอีกคนขึ้นมานั่งบนตัก กอดรอบเอวคอดไว้หลวม ๆ เพราะไม่อยากให้กระทบแผล…เรียวลิ้นสอดเกี่ยวกระหวัดกันราวกับจะผูกมัด

โจชัวครางออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลผ่าตัด คาร์ลชะงัก ปล่อยมือออกทันที

“…พอแค่นี้ก่อนไหม…เดี๋ยวอะไรมันจะเตลิดไปกว่านี้” เขาหัวเราะ แสนเสียดาย แต่ห่วงอีกฝ่ายมากกว่า

“พอเหรอ…”  นัยน์ตาสีเทาอ่อนนั้น สว่างวาวในความสลัวของค่ำคืน

โจชัวเอื้อมมือไปยังเป้สัมภาระ หยิบเอา Epi Pen (Epinephrine auto-injector) บรรจุยาแก้ปวดออกมา…เกี่ยวนิ้วตรงขอบกางเกงแล้วดึงลงจนเห็นสะโพกขาว…ปักเข็มลงไป ฉีดยาให้ตนเอง

คาร์ลกลืนน้ำลาย บอกไม่ถูกว่าหวาดเสียวเพราะเข็ม หรือเพราะผิวเนื้อยั่วเย้าตรงหน้า

มือขาวดึงมือใหญ่กว่าให้มาวางบนส่วนเปลือยเปล่า จงใจบดสะโพกลงกับแก่นกายที่นั่งทับอยู่ โจชัวซุกหน้าผากลงกับแผ่นอกหนา กระซิบถาม

“พอเหรอ…นายคิดว่าแค่จูบพอเหรอสำหรับคืนนี้…ฉันไม่ปวดแผลแล้ว อยากทำอะไรมากกว่านั้นไหม”

ถูกยั่วยวนอย่างร้ายกาจ หากยังข่มใจถามไถ่  “…นายเพิ่งผ่าตัดทำคลอดไปไม่กี่วันก่อนนะ”

“ผ่าทางหน้าท้อง ไม่ได้ผ่าทางด้านล่างเสียหน่อย” โจชัวหัวเราะเบาบาง ก่อนจะนิ่งไป…และเอ่ยใหม่  “…ถ้ากลัวว่านี่จะเป็นการเอาเปรียบฉัน ก็ขอให้คิดว่าเป็นการลงโทษฉันก็ได้”

“ลงโทษอะไร” คาร์ลถาม พลางต่อสู้กับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นร้อนขึ้นมา

ความเงียบปกคลุมอยู่หลายอึดใจ ลมหนาวหวีดหวิวคล้ายเสียงร้องไห้

คำสารภาพเอ่ยออกมาจางแผ่ว

“ลงโทษ….ที่ยิงนาย”  

แผลบนไหล่ของคาร์ลที่ใกล้หายดี ตอนนี้กลับเจ็บแปลบขึ้นมา

โจชัวลูบรอยแผลที่ใกล้ประสานนั้นโดยไม่เงยหน้ามอง “เป็นฉันเอง…ฉันจงใจยิงนายเพื่อให้โอกาสซีบิลหนี”

คนฟังกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ…เขาพยายามแล้วที่จะกลบความน้อยใจคราวโดนทำร้าย เขาควรจะแสดงสีหน้าแบบไหน หัวเราะ ตกใจ หรือโกรธ

หากเขาเสแสร้งไม่เป็น จึงตอบออกไปอย่างเรียบง่าย

“ฉันรู้…รู้มาตั้งแต่วันแรกแล้ว”

โจชัวนิ่งอึ้ง…

มือที่โอบรอบลำคออีกคนอยู่ สั่น

“…ทั้งที่รู้มาตลอดแต่นาย…”  ก็ยังให้อภัยและทำดีกับฉันโดยไม่มีข้อแม้…

“นายจะรู้สึกผิดก็ได้ แต่เชื่อเถอะ…ฉันแค่น้อยใจ…แต่ไม่เคยคิดโกรธนายเลย” คาร์ลดึงคนที่ทำท่าจะผละออกเข้ามากอดแนบแน่น จูบข้างลำคอขาวแผ่วเบา  “และฉันไม่อยากลงโทษนาย”

คนฟังเจ็บแปลบในอก หรืออีกฝ่ายจะปฏิเสธเขา

คำตอบตามมาราวกับจะอ่านใจได้

“เพราะเซ็กซ์ไม่ควรเป็นการลงโทษ เซ็กซ์ควรเกิดจากความรัก” คาร์ลเชยคางขาวขึ้นมาให้สบตา “แค่นายบอกมา…ว่าต้องการ…”

ชาติที่แล้วเขาทำอะไรไว้…ถึงได้มาพบเจอกับคนตรงหน้า

โจชัวยกตัวขึ้นจูบคาร์ลแนบแน่น กอดรัดจนแขนเจ็บแปลบ เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้ขณะบอกความต้องการแผ่วเบา…

คาร์ลยิ้มออกมา…ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นสูง สอดนิ้วเข้าไปในริมฝีปากสีเรื่อแดงที่เพิ่งกระซิบคำหวานล้ำ…สร้างความฉ่ำชื้นเคลือบปลายนิ้วจนแวววาว

ร่างใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังขาว หยาดน้ำเป็นทางยาวไปทุกที่ที่สัมผัส…ก่อนสอดลับหายเข้าไปในช่องทางชื้นร้อน…กวาดวนให้พร้อมสำหรับการร่วมรัก

คนถูกเล้าโลมบิดเอวไปมา…ก่อนจะปล่อยมือข้างหนึ่งจากบ่ากว้าง เลื่อนลงไปกอบกุมแก่นกายใหญ่ รูดชักจนมันร้อนราวกับท่อนฟืนลนไฟ

คาร์ลกัดฟัน เมื่อคนบนตักยันตัวลุกขึ้นด้วยเข่า…ครอบช่องทางลงบนความเป็นชายของเขา แล้วขย่มโยกอย่างเปี่ยมด้วยตัณหา…เขาไม่นึกเลยว่าเซ็กซ์แบบสอดใส่ครั้งแรกระหว่างเขากับโจชัวจะร้อนร่านได้ขนาดนี้

เอาแกร่งกระแทกสวน แม้ห่วงว่าจะกระเทือนอาการบาดเจ็บ หากไม่อาจออมแรงได้…เพราะเจ้าของแผลกำลังควบขี่เขาอย่างกระหาย ชักพาทุกเหตุผลให้เตลิดไปจนสิ้น

ความสุขสมต่อเนื่องยาวนาน หากอย่างไรก็มีจุดสุดท้าย…ความปรารถนาร้อนลวกเปรอะเปื้อน…ท่วมท้นทั้งในร่างของโจชัวและบนหน้าท้องของคาร์ล พวกเขากอดกันแน่น…นานเท่านาน ราวกับไม่อยากถอดถอน

ลมหนาวพัดกรูว หากพวกเขามีไออุ่นจากเรือนกาย…ตระกองกอดกันเอาไว้…หวงแหนเวลานี้ ไม่อยากแม้แต่หลับตานอน…

TBC

[Novel] Omega3verse. – Day23

16-11-25-00-59-43-135_deco

ตอนเก่าเก่าเก่า

Day 23

Keyword : Attack

Ch 23 : Jan 3, 2017.

 

‘ม้าน้ำ เป็นปลาที่นิยมทำเป็นยาจีนตามตำราการแพทย์แบบจีน ด้วยเชื่อว่าบำรุงกำลังและเสริมสมรรถนะทางเพศ โดยจะทำไปตากแห้งและขายเป็นชั่งน้ำหนักขาย ทำให้ม้าน้ำทั่วโลกในปีหนึ่ง ๆ ถูกจับเป็นจำนวนมากเพื่อการนี้ และยังถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับอีก จนกลายทำให้เป็นสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ในบางชนิด’

-Wikipedia

 

หลังจากตรวจดูจนแน่ใจว่าโจชัวและโคลตัวน้อยไม่มีอาการผิดปกติ รวมถึงคนอื่น ๆ ได้พักผ่อนเต็มที่หนึ่งวันแล้ว คณะแพทย์และพยาบาลจึงเก็บสถานที่ แพ็คของทุกอย่างเตรียมอพยพกลับคริมสัน

คาร์ลและพอลตื่นเช้ากว่าใคร พวกเขาเช็คอาวุธทั้งหมดที่มี เปลี่ยนเป็นชุดพร้อมต่อสู้ พอลปลีกตัวออกไปสืบข่าวด้านนอก และจะกลับมาสมทบกับคาร์ลเพื่อส่งพวกโจชัว ก่อนจะตรงไปรายงานตัวกับซีตัส หาทางรับมือกับชาร์กเบนเดอร์ต่อ

ส่วนโซอี้และพวกพี่ชาย หลังจากทำหน้าที่หุงหาอาหารเช้าให้ทุกคนแล้ว ก็ออกไปยังบริเวณเวิ้งน้ำเพื่อส่งข่าวให้กับบรรดาวาฬ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซาท์เทิร์นเนียร์ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาระวังภัยให้ แลงดอนจะประจำอยู่ตรงเวิ้งน้ำเพื่อรับคลื่นสื่อสารระยะไกล จนแน่ใจแล้วจึงจะกลับมาสมทบขึ้นรถกลับ

ทว่า โซอี้กลับมาก่อน พร้อมแขกคนใหม่ที่คาร์ลไม่ได้คาดฝัน

“เพ็ททูเนีย!” หนุ่มแมคเคอเรลดีใจเหมือนเจอญาติผู้ใหญ่ “มาได้ยังไงครับ แล้วนี่รู้จักกับโซอี้เหรอ”

“พ่อคุณเอ้ย”  นางทูน่าตรงดิ่งเข้ามาพร้อมเสียงแหลมสูง “ฉันรู้จักคนทั้งคริมสันแหล่ะจ้า เป็นประชากรอาวุโสเลยนะ ในอพาตเมนต์ของฉันก็มีวาฬอยู่คนหนึ่ง พอได้ข่าวว่าโจชัวคลอดลูกแล้วเลยซิ่งเรือยนต์ตรงดิ่งมา แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจอดเอาไว้ที่ท่าห่างออกไปหลายช่วงตึก นี่เดินมาจนเหนื่อยแล้วเนี่ย”

คาร์ลฟังหญิงวัยกลางคนร่ายยาวเหยียดด้วยรอยยิ้มกว้าง “พวกเขาอยู่ด้านในตึกครับ”

ขาดคำจากคาร์ล เสียงของโจชัวก็ลอยมา เจ้าตัวกำลังอุ้มลูกเดินไปมาให้เด็กน้อยเรอหลังป้อนนมเสร็จ  “เพ็ททูเนียใช่มั้ยนั่น”

เกิดลมพัดวูบหนึ่งเมื่อนางทูน่าผละจากคาร์ลไปอย่างไม่ใยดี พร้อมเสียงแหลมสูงกว่าเดิมอย่างตื่นเต้น “พ่อคุณเอ้ยยยยยยยยยย โอ๊ยยยย ไอ้หนูตัวเล็กน่ารักอะไรอย่างนี้!!!”

โซอี้วางมือลงบนบ่าคนถูกทิ้ง  “ยังไงเด็กก็ป๊อบกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว อย่าคิดมากเลยนะคะ”

“ไม่ได้คิดมากน่า” คาร์ลหัวเราะ ก่อนจะถาม “แลงดอนกับโลแกนได้ข่าวอะไรมาบ้างหรือเปล่า”

“ข้างนอกสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ”  สาวน้อยขมวดคิ้ว “สายของเราส่งคลื่นกลับมาว่า ชาร์กเบนเดอร์เรียกพนักงานติดอาวุธเข้ามาในเซาท์เทิร์นเนียร์เกือบพันคน จนชาวเมืองแตกตื่น ผู้ว่าฯซีตัสโกรธมากเลยสั่งระดมกำลังพลแปดร้อยกว่าคนออกมาตั้งรับ…ตอนนี้ยังแค่ดูเชิงกันอยู่ ไม่รู้จะเกิดการปะทะเมื่อไหร่”

ที่แท้ความสงบในวันก่อนที่ผ่านมา คือภูเขาไฟก่อนระเบิดสินะ…คาร์ลภาวนา ให้ทุกฝ่ายยังคงตรึงกำลังเอาไว้ จนกว่าโจชัวกับลูกจะหนีไปได้แล้ว

…ทว่า…

คำภาวนา บางครั้งก็ไม่ได้ผล

แลงดอนกับโลแกนกลับเข้ามาเร็วกว่ากำหนด โซอี้แปลภาษาจิตของทั้งสองออกมาได้ว่า เกิดการปะทะแล้วในบางจุด

คาร์ลรีบบอกกับแม็กซ์ หน่วยแพทย์ทุกคนทยอยออกจากจุดซ่อนทีละสองคนเพื่อไม่ให้สะดุดตา สัมภาระบางอย่างที่ใหญ่เกินไปต้องตัดสินใจทิ้งเอาไว้ ค่อยตามมาเก็บในวันหลัง

หน่วยแพทย์ออกไปจนหมด ตามด้วยกลุ่มพี่น้องวาฬ ปิดท้ายด้วยโจชัว คาร์ล และเพ็ททูเนียที่อาสาอุ้มทารกน้อยให้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต

เสียงปืนเริ่มดังจากอีกฟากเมือง ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งหมดเข้าไปในตึกร้างสีแดงโทรม เคาะรหัสซับซ้อนเพื่อเปิดประตูเข้าไป หน่วยแพทย์เตรียมรถเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพ็ททูเนียไม่มีทางเลือกนอกจากต้องติดเข้าไปในคริมสันด้วย

คาร์ลห่วงหน้าพะวงหลัง พอลยังไม่กลับมา และต้องส่งโจชัว…นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบเดือนที่พวกเขาต้องพรากจาก

ชายหนุ่มตัดสินใจทำสิ่งที่อยากทำก่อนไม่มีโอกาส เขาเดินไปหาเพ็ททูเนีย “….ขอผมอุ้มเขาได้ไหมครับ”

โคลตัวน้อยถูกส่งมาสู่อ้อมแขนของคาร์ล…ตัวเล็กนิดเดียวนักเมื่อเทียบกับท่อนแขนใหญ่…เจ้าตัวน้อยลืมตาแล้ว…เป็นดวงตาสีทองสุกใส

แม้จะรู้ว่าเป็นสีตาของซีบิล ศัตรูหัวใจ แต่เขากลับรักมันเหลือเกินเมื่อเป็นดวงตาของลูก…คาร์ลก้มลงจูบหน้าผากเล็ก ๆ นั้นอย่างแผ่วเบา ระวังไม่หนวดเคราบาดโดนผิวอ่อน

แผ่นหลังของเขาอุ่นซ่าน เมื่อโจชัวสวมกอด…เขาหันไปหาอีกฝ่าย ก้มลงจูบริมฝีปากสีเรื่อจางนั้น แล้วส่งลูกคืนให้

“…ดูแลเขาดี ๆ นะ”  ก้อนสะอื้นจะหลุดออกจากลำคอหนา นึกด่าตัวเองที่ชักจะบ่อน้ำตาแตกง่ายขึ้นทุกวัน

“นายด้วย…ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลพอลด้วย…ถ้าว่าง”  โจชัวบอกพร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า

คาร์ลโขกศีรษะใส่อีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะถอยออกไปตั้งหลักคุ้มกัน เขาเห็นเพ็ททูเนียยื่นมือมาช่วยอุ้มเจ้าตัวเล็ก โซอี้นั่งอยู่ข้าง ๆ ราวกับบอดี้การ์ดคอยอารักขา

ตามที่ตกลงกันเอาไว้ หากพอลกลับมาไม่ทันที่ซ่อนเก่า จะตามมาสบทบที่ประตูทางเข้าคริมสัน หากเวลาไม่มีแล้ว คาร์ลเดินออกมาจากประตูกล เตรียมปิด

จังหวะเดียวกับที่พอลมาถึง…วิ่งมา…ด้วยสภาพหนีตาย

“หมอบลง!!!”

/Attack!!!/

เสียงแรกคือพอล ส่วนเสียงสองไม่ต้องสงสัย ศัตรูแน่แท้ คาร์ลทิ้งตัวลงบนพื้นทันที ห่ากระสุนพุ่งข้างศีรษะเขาไป ฝังลงบนผนังเกิดเป็นลอดลายยาวเหยียด

“พอล! เป็นอะไรมั้ย!” หนุ่มแมคเคอเรลถามขณะกลิ้งตัวใช้โต๊ะเป็นที่กำบัง ชัก Assault rifle ออกมาตั้งลำ เตรียมโต้กลับโดยอัตโนมัติ

“แม่งเอ้ย!!!” เสียงอยู่ แสดงว่ารอดอยู่ พอลวิ่งมาหลบหลังบาร์น้ำเก่า ๆ ควักปืนกลมือออกมารีโหลดกระสุน “พวกมันเอาเรือยนต์มาเป็นร้อยลำ คนของซีตัสสกัดไว้ไม่ค่อยอยู่เท่าไหร่ เผลอแป๊บเดียวก็ข้ามมาใกล้ที่นี่แล้ว”

จบคำพอล กระสุนอีกชุดใหญ่ก็กราดเข้ามา คราวนี้เลาะเอาประตูหน้าหลุดออกไปทั้งยวง

“เราจะให้พวกมันผ่านเข้าไปไม่ได้!!! พวกโจชัวกำลังจะออกเดินทาง”  ตะโกนบอก แล้วใช้จังหวะที่กระสุนจากภายนอกขาดช่วง ยิงสวนออกไปบ้าง “บ้าเอ้ย! เรือลำนึงใส่พวกมันมากี่คนวะพอล”

“ลำนึงมีสี่ห้าคน” พอลยกกระบอกปืนขึ้นเหนือที่กำบัง สาดปืนกลต่อจากคาร์ลอย่างไม่ให้ขาดช่วง “เอาไงดี เดี๋ยวฉันวิ่งล่อให้ แล้วนายส่องเก็บพวกมันไหวมั้ย”

คาร์ลเดาะลิ้น เขาไม่แน่ใจเลย  “จะพยายาม”

พอลพยักหน้ารับ พอให้สัญญาณ จึงวิ่งฉีกออกจากที่บาร์น้ำ กระสุนหลายนัดไล่ตามการเคลื่อนไหว คาร์ลอาศัยจังหวะนั้นลุกขึ้นประทับปืนขึ้นส่อง ลั่นไกไปสามนัด

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาเพียงครั้งเดียว ก่อนที่กระสุนชุดใหม่จะสาดเข้ามาจนต้องรีบมุดหลบ

“เก็บไปได้หนึ่งเองเรอะ!!!”  พอลตะโกนมาจากใต้โต๊ะตัวหนึ่ง

“โทษทีหัวหน้า ช่องยิงมันแคบมาก”  คาร์ลเจ็บใจ หากเป็นที่โล่งกว่านี้ เขาคงจัดการได้หมด

“เดี๋ยวจะล่อให้อีกที”  หัวหน้าถอนหายใจหนักหน่วง “งวดนี้ขอเน้น ๆ นะ ไม่งั้นตูดฉันได้พรุนแน่”

ลูกน้องตอบรับ เฝ้ารอสัญญาณ…ตั้งสมาธิใหม่

พอลส่งสัญญาณมือ แล้วพุ่งออกจากจุดกำบังอีกครั้ง คาร์ลเหนี่ยวไก นัดแรกพลาดไปอย่างน่าผิดหวัง เขาตั้งลำใหม่ ยอมเสี่ยงลุกขึ้นยืนเพื่อหามุมยิงมากขึ้น

แต่แล้ว ไหล่หนากลับถูกจับเอาไว้ กดให้นั่งลงตามเดิม เสียงนุ่มและนิ่งดังอยู่เหนือหัว

“หลบ”

กระสุนสี่นัดแผดเสียงลั่นต่อเนื่อง…เป้าหมายไม่มีเสียงร้อง หากร่วงลงไปกองจนหมด

พอลโผล่หน้าไปเช็คว่าศัตรูล้มเกลี้ยง เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นฝีมือใครก็ทำหน้าราวกับจะกรี๊ดอย่างปลื้มปริ่ม

 

“โจชัว!!!”

เจ้าของชื่ออยู่ในชุดพร้อมไล่ล่า เขาเลิกคิ้วให้หัวหน้าพลางเช็คแม็กกาซีนว่าเหลือกระสุนเท่าไหร่ ก่อนจะแบมือไปทางคาร์ลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “เอาแอสซอล์ไรเฟิลของนายมาให้ฉัน แลกกับปืนพกสองกระบอกโอเคไหม”

“….ทำไมนายยังอยู่”  คาร์ลลุกขึ้น ขมวดคิ้ว “เอาตัวเองมาเสี่ยงทำไม!”

แล้วคาร์ลต้องหุบปากแทบไม่ทัน เมื่อน้ำตาหยดหนึ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นจากคนตรงหน้าร่วงลงมา…

“ไม่มีฉันแล้วพวกนายสู้ไหวมั้ยล่ะ…”  โจชัวตวัดหางตาอย่างเกรี้ยวกราดทั้งที่ชุ่มไปด้วยน้ำคลอเบ้า

คนถูกถามแทบจะคุกเข่าแล้วก้มหัวให้…โจชัว ซาร์ดีน มือปืนอันดับหนึ่งของรุ่น ไม่มีใครล้มล้างได้

“แล้ว…ลูกล่ะ…”  คาร์ลเอ่ยคำถามอย่างฝืนคอ ความห่วงแล่นขึ้นมาจนจุกอก

“ฝากให้เพ็ททูเนียกับโซอี้ดูแล”  ตอบพลางสูดน้ำมูกดังฟืดใหญ่ กลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ “พวกเขาออกรถไปแล้ว เดี๋ยวถึงคริมสันแลงดอนกับโลแกนจะเกณฑ์กำลังคนมาปิดทาง คงเบาใจได้”

ปากบอกว่าเบาใจ แต่สีหน้าไม่ได้เบาตามเลย…คาร์ลอดไม่ได้ ดึงร่างเล็กกว่ามากอดเอาไว้

พอลเดินตามมาสมทบ  “…นายเสียสละเกินไปไหมโจชัว…”

“ไม่…มันเป็นหน้าที่ของฉัน มันเป็นปัญหาที่มีต้นเหตุจากฉัน ฉันต้องจบมันด้วยมือตัวเอง”  โจชัวหันไปสบตากับหัวหน้าแน่วแน่ “…และฉันจะไม่ยอมเสียครอบครัวของฉันไปแม้แต่คนเดียว…ไม่ว่าลูก หรือ คาร์ล หรือนาย”

คำขอบคุณจากพอลนั้น มาในรูปแบบของอ้อมกอดแห่งมิตรภาพอันแนบแน่น…สามสหายรวมกันเป็นหนึ่งครอบครัว

“เรือของเพ็ททูเนียจอดห่างจากที่นี่ไปสามตึก”  พอลกล่าว แสยะยิ้มร้ายกาจ  “…ไปช่วยผู้ว่าฯซีตัสทำลายกองเรือชาร์กเบนเดอร์กันหน่อยไหม”

ไม่ต้องสงสัย คำตอบนั้นมีเพียงอย่างเดียว

ล้างบางพวกมัน

TBC

Talk :

  • พะงาบ ๆ ….. /ใกล้ตาย
  • ยังคงพยายามอยู่ค่ะ…

[Novel] Omega3verse. – Day22

16-11-25-00-58-32-851_deco

ตอนเก่าจ้า

Day 22

Keyword : ซึมเศร้า

Ch 22 : Jan 2, 2017.

‘ในเทพปกรณัมกรีกและโรมัน ม้าน้ำเป็นพาหนะของโพไซดอนหรือเนปจูน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ม้าน้ำเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ในความเชื่อของชาวยุโรป ม้าน้ำเป็นทูตที่นำพาดวงวิญญาณของกะลาสีไปสู่ปรโลก นำดวงวิญญาณไปยังจุดที่พักจนกว่าดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ’

-Wikipedia

คาร์ลสะดุ้งตื่น ไม่รู้ตัวว่าหลับไปเมื่อไหร่ เพราะเมื่อลืมตาอีกทีก็เช้าแล้ว

พอลยังนอนอืดอยู่บนพื้นใกล้กัน บนตัวมีผ้าห่มผืนหนาห่ออยู่ ตัวเขาเองก็มีผ้าห่มคลุมเช่นกัน คงเป็นความเอื้ออาทรของใครสักคนในแคมป์จำเป็นแห่งนี้

เมื่อความงัวเงียค่อยจางหาย ความห่วงหาก็แล่นขึ้นมาจากในอก คาร์ลยันตัวเองลุกขึ้น เดินไปทางบอลลูนปลอดเชื้อ

เขาเอาหน้าแนบหน้าต่างพลาสติก มองเข้าไปเห็นพยาบาลและบุรุษพยาบาลรวมหกคนนอนหลับเรียงกันอยู่บนพื้น…นึกขอบคุณ และจะบอกแน่นอนเมื่อทุกคนตื่น

โจชัวนอนอยู่บนฟูก ข้างตัวมีอ่างพลาสติกใส…ทารกน้อยตัวกลมในห่อผ้ากำลังหลับพริ้มเช่นกัน

“ตื่นแล้วเหรอคาร์ล…”  

เสียงง่วงหาวดังในระยะประชิดทำให้สะดุ้ง คาร์ลหันไปหา  “อ้าว คุณหมอ”

“เรียกผมว่าแม็กซ์ก็ได้ อ้อ ลืมบอก ผมเป็นเพื่อนของพอล ได้ฟังเรื่องของพวกคุณทางโทรศัพท์เยอะเลย” หมอแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง “ผมมีเรื่องอยากจะคุยพอดี เกี่ยวกับอาการของโจชัว…ช่วยปลุกพอลมาด้วย”

คาร์ลหันไปมองในบอลลูนปลอดเชื้ออีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า เดินกลับไปตรงจุดที่นอนอยู่เมื่อคืน เขาปลุกพอลให้ตื่น อีกฝ่ายครางด้วยความเจ็บปวดพร้อมกุมลำคอ หมอแม็กซ์จึงเดินกลับไปเอากล่องเครื่องมือพยาบาลมา

การสนทนาเริ่มขึ้น พร้อมกับการทำแผลที่หลังคอให้พอลไปด้วย “…แผลมีรอยถูกเย็บมารอบ แล้วก็ฉีกออกอีก ไปทำอะไรมา”

“…เอาชิปส่งสัญญาณติดตามตัวออกเอง”  พอลทำนิ้วเหมือนคีบของ “อย่าดุนะหมอ มันจำเป็นนี่นา”

หมอส่ายหัวพลางฉีดยาชาแล้วลงมือเย็บแผลให้ใหม่ “เข้าประเด็นเลยดีกว่า จากที่โซอี้เล่าให้ฟัง ว่าโจชัวเป็นเบต้า แต่กลับมีมดลูกแบบโอเมก้า เมื่อคืนหลังทำคลอดเสร็จ เลยเอาเลือดจากตัวเขาและเลือดเฉพาะส่วนมดลูกของเขามาตรวจ”

คาร์ลกอดอกนั่งฟังโดยไม่กะพริบตา

“เป็นโอเมก้าจริง ๆ เฉพาะมดลูก” พูดจบก็กระตุกปมผูกไหม หันไปหยิบผ้าพันแผลมาทำงานต่อ “ระหว่างผ่าตัด หมอพบอะไรบางอย่างติดอยู่ใกล้เคียงมดลูก…ในบรรดาพวกคุณ มีใครรู้ประวัติครอบครัวของเขาไหม…เช่นพี่น้องเพศรองใด มีฝาแฝดหรือไม่”

นั่นคือความจริงที่เพิ่งรู้เมื่อไม่นาน คาร์ลจึงตอบได้ทันที “ทุกคนในบ้านยกเว้นโจชัว มีฝาแฝดครับ”

“โป๊ะเชะ!”  หมอแปะพลาสเตอร์แต่งแผลส่งท้ายดังป้าบ

พอลร้องจ๊าก “สรุปว่างั้ย!!!”

“พวกคุณรู้จัก Vanishing twin หรือ แฝดกาฝากไหม” แม็กซ์กำมือสองข้าง ก่อนจะกางอีกมือหนึ่งแล้วกุมอีกมือเข้าไป “เป็นเคสที่เกิดได้ยากมาก โอกาสแค่หนึ่งในห้าแสน สาเหตุยังไม่แน่ชัด รู้แค่เป็นความผิดปกติในระหว่างมารดาตั้งครรภ์ แฝดคนหนึ่งไม่สามารถเจริญเติบโตต่อได้ จึงถูกผนวกรวมเข้าไปในร่างของแฝดอีกคน”

“หมายความว่า มดลูกของโจชัว ก็คือชิ้นส่วนฝาแฝดของเขา” คาร์ลอ้าปากค้าง

“ใช่ หมอสันนิษฐานเอาไว้เพราะตอนผ่าตัดพบกระดูกอ่อนชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้นติดอยู่กับมดลูกของเขา เป็นลักษณะเด่นของการพบแฝดกาฝาก บางทีก็เป็นเส้นผม ฟัน หรืออวัยวะต่าง ๆ เกินออกมาจากร่างกาย” คุณหมอพยักหน้ารัว ๆ “พอได้รู้ประวัติทางบ้านของเขา จึงมั่นใจว่าใช่แน่ แถมยังเป็นแฝดกาฝากที่เป็นโอเมก้า…แล้วยังมีระบบการทำงานสอดคล้องกับร่างกายของโฮสต์ นี่มันยิ่งกว่าหายาก อาจจะเป็นเคสหนึ่งในหลายล้านด้วยซ้ำ”

จะหายากแค่ไหน จะเป็นปาฏิหาริย์หรือไม่ สำหรับคาร์ลแล้วมันไม่สำคัญเลยถ้าเทียบกับสุขภาพของคนที่เขารัก

“แล้ว…จะส่งผลอะไรกับโจชัวไหมครับ”

หมอแม็กซ์มีสีหน้าจริงจังขึ้น “ก่อนหน้านี้คงไม่ส่งผล…แต่ตอนนี้ มดลูกของเขาบอบช้ำ”

พอลกำหมัดแน่น รู้สาเหตุนั้นดี

“หมอคิดว่า เราควรผ่าตัดเอามดลูกออก…เรื่องนี้หมอจะถามกับเจ้าตัวเขาก่อน”  นายแพทย์พยักหน้า “อีกเรื่องนึง…ลูกของเขาน่ะ”

“ครับ…” คาร์ลพยักหน้า พยายามทำใจให้นิ่ง

“ควรจะพาไปเข้าตู้อบในโรงพยาบาลคริมสัน ที่นั่นมีเครื่องมือพร้อมกว่าสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนด” บอกพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลไปด้วย “อยากจะพาทั้งสองคนกลับไปด้วย แต่ขนาดรถฉุกเฉินไม่ใหญ่พอ เลยอยากจะขอพาแม่…เอ่อ หรือพ่อกับเด็กไปก่อน”

หัวใจเหล่าคนฟังหนักอึ้ง…นี่เขาต้องแยกกันจริง ๆ หรือ

“เราจะส่งคนมาช่วยทันทีค่ะ”

โซอี้เดินมาสมทบ พร้อมกับแลงดอนและโลแกน พวกเขาถือชามอาหารอุ่น ๆ มาเท่าจำนวนคน เป็นซุปหอมกรุ่นและมันบด สามคนที่นั่งอยู่ก่อนรีบคว้ามากิน ไม่มีใครถือสาความมูมมามแล้วในภาวะแบบนี้

“ฉันเคยรับปากเอาไว้แล้ว ว่าจะเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกของคุณโจชัว เลยออกมาด้วยไงล่ะ”  สาวน้อยยิ้มกว้าง ความสดใสของเธอช่วยเยียวยาทุกคนเอาไว้

“ขอบคุณนะโซอี้” คาร์ลยิ้มออกมาได้บ้าง

พอลยกมือบีบบ่ารุ่นน้อง “ไม่ต้องห่วงหรอก เข้าคริมสันได้ ปลอดภัยแน่นอน”

หลังจากซดน้ำซุปจนเกลี้ยง หมอจึงกล่าวต่อ “แต่ก่อนอื่นนะ พวกคุณไปอาบน้ำก่อน ทางโน้น”

คาร์ลมองตามมือหมอชี้ เนื่องจากรถฉุกเฉินไม่สามารถออกมาถึงตรงนี้ ดังนั้นตัดเรื่องถังน้ำสะอาดไปได้เลย มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นอะไรที่ใกล้เคียงจะให้ ‘อาบน้ำ’

“เออ หมอใช้คำผิดไปหน่อย ต้องเรียกว่าเช็ดตัว” ปลายทางที่ชี้ไป มีกระเป๋าสัมภาระทางการแพทย์วางไว้ “มีเจลแอลกอฮอล์ในนั้น เอาออกมาชะโลมตัวแล้วถูออกด้วยผ้าสะอาด”

เจลแอลกอฮอล์ ใช้ในสภาพอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แค่ได้ยินก็ขนลุกซู่

“เสร็จแล้วหมอจะให้เข้าไปในบอลลูน…จะได้ไปช่วยกันตั้งชื่อเจ้าตัวเล็กซะที”

แค่ประโยคเดียว หนาวแค่ไหนก็ไม่หวั่น คาร์ลแทบจะแก้ผ้าวิ่งไปหาแอลกอฮอล์

———

หลังทุกคนเปลี่ยนเป็นชุดใหม่สะอาดสะอ้าน คาร์ลและพอลก็ได้เข้าไปในบอลลูนปลอดเชื้อ พร้อมกับคนอื่น ๆ

โจชัวกำลังอุ้มลูกน้อยแนบอกด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือถือขวดนมขวดจิ๋วป้อน เพราะไม่ได้เป็นโอเมก้าโดยกำเนิด เขาจึงไม่มีน้ำนมไหล เจ้าตัวยังมีสีหน้าอิดโรย แต่รอยยิ้มนั้นดูสวยงามและเปี่ยมสุข

“ตัวเล็กจังเลย…น่ารัก”  โซอี้อุทานออกมาก่อนใคร เธอย่องเข้าไปนั่งข้าง ๆ โจชัว “แก้มยุ้ยสุด ๆ ไม่เหมือนเด็กคลอดก่อนกำหนดเลย”

“เพราะคลอดก่อนกำหนด ถึงได้ตัวเล็กแค่นี้ไง หนักแค่สองพันเก้าร้อยกรัมเอง” หมอแม็กซ์หยิบกระดานบันทึกประวัติขึ้นมา จดระดับน้ำเกลือและเลือดที่ให้คนไข้ ก่อนเอ่ยกับเหล่าพยาบาลที่ตื่นนอนแล้ว “พวกคุณออกไปอาบน้ำกินข้าวเถอะ วันนี้สถานการณ์ด้านนอกยังปกติ อยากให้พักผ่อนเต็มที่ เตรียมรับมือกับวันพรุ่งนี้ตอนขากลับ”

พยาบาลและบุรุษพยาบาลตอบรับ คาร์ลยืนรออยู่ตรงหน้าประตู

“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ” เขาก้มหัวให้ แสดงความรู้สึกขอบคุณออกมาจากใจ

เหล่าบุคลากรล้วนยิ้มออกมา พวกเขาแตะบ่าของคาร์ลก่อนจะชักแถวเดินออกไป…ในห้องตอนนี้จึงเหลือเพียงคนกันเองจากในคริมสันและหมออีกหนึ่ง

“เอ้อ ลืมบอก เจ้าตัวเล็กนี่เป็นเด็กผู้ชายนะ” แม็กซ์เคาะปากกากับขอบกระดานเป็นจังหวะ “เอาล่ะ…ตั้งชื่อว่าอะไรดี”

“พอล จูเนียร์”

สายตาทุกคู่หันไปจ้องเจ้าของชื่อที่ไซส์ไม่จูเนียร์

“อะไรเล่า! ไม่คิดจะตั้งชื่อตามรุ่นพี่ที่เคารพเหรอไง”  พอลโอดครวญ

“ไม่ โทษทีนะ” โจชัวเบะปาก

“ทำไงดีอ่ะ ฉันคิดเอาไว้แต่ชื่อเด็กผู้หญิงหมดเลย” โซอี้ทำหน้าคิดหนัก…ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าต้องคลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิง

แลงดอนกับโลแกนทำเสียงฟู่ ๆ อือ ๆ ไม่มีใครรู้ว่าสื่ออะไร แต่เมื่อโซอี้หันไปดุว่าห้ามเอาชื่อตระกูลวาฬมายัดเยียดให้คนอื่น ทุกคนก็เดาได้ไม่ยาก

คาร์ลเป็นคนเดียวในนั้นที่ไม่ได้เสนอชื่อ…เขามัวแต่ชื่นชมทารกน้อยในอ้อมแขนแม่ (หรือพ่อ) เขารักเด็กคนนี้ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องโจชัว เมื่อได้เห็นหน้ายิ่งรู้สึกรักมากขึ้นกว่าเดิม…เจ้าตัวน้อยจ้ำม่ำ ผิวขาวจัดเหมือนโจชัว…จะสีตาแบบไหนกันนะ…มือเล็ก ๆ นั่นจะกำรอบนิ้วเขาได้หรือไม่

ทั้งรักและอยากทะนุถนอม…แล้วยอกใจเมื่อนึกถึงอันตรายที่กำลังไล่ตามหลังจนรู้สึกซึมเศร้าขึ้นมา อนาคตของลูกคือความกังวลของพ่อแม่ เขาซึ้งแล้วในวันนี้

เสียงของโจชัว ดึงคาร์ลกลับมาสู่ปัจจุบัน

“ตั้งชื่อว่า ‘โคล’” ผู้ให้กำเนิดบอกกับทุกคน แต่สายตามองเพียงคนเดียว “ฉันตั้งชื่อเขาตามอักษรในชื่อนาย”

คาร์ลรู้สึกหูอื้อไปหลายอึดใจ

ก่อนจะชี้หน้าตัวเองแบบอึ้ง ๆ

“ยินดีด้วยคุณพ่อคนใหม่!!!”  พอลตบหลังรุ่นน้องตัวโตดังป้าบ จับเขย่า ๆ กึ่งยินดีกึ่งแค้น “แย่งซีนชื่อฉันไปจนได้”

คนถูกเขย่าไม่คิดเอาคืน เขาหันไปกอดพอลแรง ๆ ทีหนึ่ง เรียกเสียงยี้อย่างรังเกียจจากอีกฝ่าย ก่อนจะเดินตรงไปหาโจชัว ลงนั่งเคียงข้าง

“โคลเหรอ…ไง โคล”  นิ้วใหญ่ยื่นไปแตะกำปั้นจิ๋ว…ตามคาด มือเล็ก ๆ นั้นพยายามกำนิ้วเขาไว้ แต่กำได้ไม่รอบ “อักษรนำจากชื่อของฉัน ส่วนสระมาจากนายใช่ไหม”

โจชัวยิ้มบาง แก้มแดงเล็กน้อย เสตามองไปทางอื่น “ประมาณนั้น…”

“ขอจูบนายตอนนี้นะ…” ถามแบบไม่อายคนรอบข้าง

“ไม่” คนถูกขอเปลี่ยนจากยิ้มเป็นหน้าบึ้งแทน

“เอ่อ…ให้ครอบครัวเขาอยู่ด้วยกันเนอะ”  

หมอแม็กซ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ลากเอาพอลที่คิดจะเข้าไปแทรกกลางออกไปด้านนอก ส่วนคนอื่น ๆ ชักแถวเดินตามพร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า

เพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งถือกำเนิด ได้ใช้เวลาอันมีค่าร่วมกัน

TBC

Talk :

  • กำลังไล่อิดิทอยู่ค่ะ พราก จะลงทั้งหมดทัน 30 มั้ยนะ /สั่นกลัว
  • ต่อเนื่องกันไปเลยที่ตอน 23!

[FB : Gradence] Proof.

#FantasticUncleAndHowToLoveHim

[FB : Gradence]  Proof.

Macho_Luglio

NSFW

Credence x Graves

พล๊อตไม่มีหน้าตาดีไปวันๆ

เป็นเหตุการณ์หลังครีเดนซ์ฆ่าแม่รี่ลูนะคะ / และไม่มีเหตุการณ์ต่อจากนั้น…

เพอซิลวาน เกรฟส์ มาถึงช้าเกินไป…

แมรี่ ลู และ เชสติตี้ แบร์โบนส์ นอนเสียชีวิตอยู่บนพื้น โมเดสตี้ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ครีเดนซ์…ยังอยู่ที่นั่น หนาวสั่น พรั่นพรึง

ผนังบางส่วนแตกออก เป็นช่องให้ลมหนาวพัดกรูเข้ามา เกรฟส์ร่ายคาถา ‘เรปาโร’ ซ่อมแซมให้มันเหมือนเดิม

แต่ถึงอย่างนั้น ภายในห้องโถงก็ยังเหน็บหนาว เกรฟส์ถอดเสื้อโค้ทสีดำหรูหรา คลุมลงไปบนไหล่ของครีเดนซ์

“เสื้อโค้ท…อุ่นขนาดนี้เลยเหรอครับ”

คำถามนั้น บ่งบอกถึงความแร้นแค้น เกรฟส์ลงนั่งข้างเด็กหนุ่ม โอบแขนรอบแผ่นหลัง

“ขอฉันดูมือหน่อย” คนสูงวัยกว่าบอก

ครีเดนซ์แบมืออันสั่นเทาส่งให้ ผิวหนังมีเพียงรอยจาง ๆ ของแผลในอดีต

“กล้าหาญมาก…” เกรฟส์ชม “เธอไม่ยอมให้ใครทำร้ายอีกแล้ว”

หูที่เคยชินเพียงคำด่าทอ ไม่คุ้นกับคำชมเท่าไหร่ ครีเดนซ์กะพริบตาเชื่องช้า

ก่อนจะยิ้มออกมา…ครั้งแรก

เกรฟส์ยิ้มตาม กว้างกว่า พึงใจกว่า เมื่อได้เห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นหล่อเหลาเมื่อเผยรอยยิ้มดั่งที่เคยคาดเดาไว้…เขายกมือขึ้นสัมผัสข้างสันกรามโดดเด่น ไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือเข้ากับแก้ม

ครีเดนซ์สะดุ้งเล็กน้อย หากไม่เอนหนีมือแม้เพียงนิด

“เธอเป็นอิสระแล้ว” เกรฟส์กระซิบด้วยเสียงทุ้มนุ่ม “…เธอน่ะ แข็งแกร่ง…ไม่ต้องเก็บกดตนเองอีกต่อไป อยากรู้อะไร อยากทำอะไร ได้ทั้งหมด”

สิ่งที่อยากทำ ครีเดนซ์ยังไม่รู้…หากสิ่งที่อยากรู้…เขามีข้อหนึ่ง

“ผม…ถามอะไรคุณได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มหลบตา

เกรฟส์จับใบหน้านั้นหันกลับมาหา “ว่ามาสิ”

ครีเดนซ์ลังเล…

เขากำมือ ใช้ปลายนิ้วสัมผัสรอยแผลเป็น

และคลายออกเมื่อเปล่งเสียงถาม

“เวลาเฆี่ยนตีคนอื่น…เราจะรู้สึกดีเหรอครับ”

เกรฟส์นิ่งไปครู่หนึ่ง

ก่อนจะยกยิ้มชวนมอง  “จะลองดูไหม…”

ครีเดนซ์กะพริบตาถี่ขึ้น สับสนหนักขึ้น เมื่อเห็นคนตรงหน้าผายมือไปยังซากศพของแม่…ร่างไร้ชีวิตของแมรี่ ลู

ยามมีชีวิตเขาหวาดหวั่นนางมารร้าย ยามไร้ชีวิตเขาก็เห็นเป็นเพียงซากเนื้อ…น่าสะอิดสะเอียน

เกรฟส์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเดาจากอาการคลื่นเหียนของเด็กหนุ่ม

“เป็นความรู้สึก…ของการได้มีอำนาจเหนือกว่า..เหมือนเป็นเจ้าชีวิตของผู้ถูกกระทำ”

สูทตัวนอกถูกถอดออก ลอยไปพาดบนเก้าอี้ตัวที่ยังสภาพดี เสื้อกั๊กตัวในตามไป เหลือเพียงไทด์และเชิ้ตสีขาวกระจ่าง

ครีเดนซ์ยืนตัวเกร็ง หากฟังคำอย่างตั้งใจ

“ได้ลงมือตามใจ…” เกรฟส์ยกไทด์ขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะยื่นให้ “…ไม่อยากลองถอดเสื้อผ้าคนอื่นหรือ”

ครีเดนซ์…ไม่กล้า

เกรฟส์ถอนหายใจ ปลดไทด์ออกด้วยมือตนเอง…แววตาผิดหวัง

นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเสียใจ…เสียใจยิ่งกว่าพลั้งพลาดฆ่าเชสติตี้ตาย…

กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกทีละเม็ด…นิ้วของเกรฟส์ไม่ได้เรียวสวย ค่อนข้างหนา มีริ้วรอยและบาดแผล…มือปราบมารคงไม่ใช่งานสบายนัก

หากในสายตาของครึเดนซ์ นิ้วมือที่ขยับเปิดเสื้อผ้าทีละส่วนนั้น ยั่วยวนและยั่วยุเหลือใจ

เกรฟส์หยุดมือ เมื่อสาบเสื้อเปิดกว้าง เผยให้เห็นผิวเนื้อตั้งแต่ลำคอ…ร่องอก…กล้ามเนื้อหน้าท้อง…สะดือ…เส้นขนสีดำปนขาว…ลับหายไปในขอบกางเกง

หัวเข็มขัดสะท้อนแสงจันทร์ เมื่อมันขยับไหวขณะถูกถอดออก

มือที่หยิบยื่นเส้นหนังให้ไม่มีสั่นไหว ในขณะที่มือที่ยื่นมารับสั่นเทาราวกับจะแตกสลาย

“ลองสิ…” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบ เกรฟส์หันหลังให้…รูดเสื้อเชิ้ตเนื้อลื่นออกจากบ่า

หลังเปลือยเปล่านั้น ไร้ตำหนิ…

หากได้ทำร่องรอยลงไป

จะเหมือนสลักความเป็นเจ้าของไว้หรือเปล่า

คำว่า ‘เจ้าของ’ ในหัว แล่นพล่านลงไปยังกึ่งกลางลำตัว ปลุกเร้าอารมณ์ลึกให้แตกตื่น

…ทว่า…คุณเกรฟส์จะต้องเจ็บปวด

ดั่งมีคาถาพินิจใจ

“ฉันรักษาแผลได้…ไม่ต้องลังเล”

ครีเดนซ์รู้สึกว่าแรงกดดันในอกคลายออก…เขาพรูลมหายใจ ก่อนจะสูดเข้าใหม่ กระชับเส้นหนังแน่นขึ้น

แล้วหวดฟาด

รอยแดงฉานพาดผ่านจากสะบักซ้ายลงสู่เอวขวา…ดูน่าเจ็บปวด หากสวยงามเกินว่าเด็กหนุ่มจะละสายตา

เขาหวดฟาดลงไปอีกครั้ง

มองผิวเนื้อขาวสั่นระริก มองเอวที่บิดส่ายไปมาอย่างกลั้นไม่อยู่…

ครีเดนซ์กำเส้นเข็มขัดจนหนังกดลึกเข้าไปในรอยแผลเป็น…เจ็บแปลบจนมือชา หากกลับรู้สึกว่าตนเองได้เชี่ยมโยงความเจ็บปวดกับคนตรงหน้า

ยิ่งแผ่นหลังตรงหน้าแดงจัดเท่าไหร่ เลือดในกายของเขายิ่งกองสุมสู่ด้านล่างเท่านั้น

จนกระทั่งเสียงกระเส่าหลุดลอดลำคอของเกรฟส์ออกมา

ครีเดนซ์ทรุดลงกับพื้นตัวงอ…กุมหว่างขาที่ตั้งชันและเปียกจนชุ่มกางเกงผ้าราคาถูก

“ครีเดนซ์…”  เกรฟส์เรียกด้วยเสียงหอบ ผสานกับเสียงสูดปากอย่างเจ็บร้าว “ยังไม่จบ…ลุกขึ้น”

“ผม…ผม….ขอโทษครับ…ผมมันทุเรศ…” ขอบตาร้อนจัด อับอาย

“มันเป็นเรื่องปกติ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยปลอบ “…ลุกขึ้น…ถอดเข็มขัดของนายออก”

ครีเดนซ์สะดุ้ง…หรือถึงคราวเขาถูกเฆี่ยนตีบ้าง

แต่แปลกนัก…เขาไม่รู้สึกต่อต้าน หากเป็นคน ๆ นี้…เขาพร้อมยอมตามใจ

เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้น มือเก้งก้างปลดเข็มขัดตนเองออก รวบไว้ในมือแล้วก้มหน้าก้มตายื่นให้…

เสียงหัวเราะดังมาจากเบื้องหน้า “แค่ถอดเฉย ๆ ไม่ต้องส่งมา…เงยหน้าสิ”

ครีเดนซ์ทำตาม

แล้วต้องเบิกตากว้าง…

กางเกงเรียบหรูของเกรฟส์ ตอนนี้กองอยู่ตรงข้อเท้า ชั้นในสีขาว…รูดลงมาต่ำกว่าบั้นท้าย…นิ้วมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้น เกี่ยวเนื้อขาวให้แยกออก

ครีเดนซ์ไม่อาจละสายตาจากส่วนเร้นลับนั้นได้…ซ้ำยังเห็นเงาของความตื่นตัวเปี่ยมอารมณ์ของอีกฝ่าย ขยับไหวอยู่…

“นาย…รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร” เกรฟส์ขมวดคิ้วพร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า “ทำตามสัญชาตญาณเลย”

แม้คนที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก ก็ยังไม่อาจหักห้ามจากกามารมณ์ได้

เด็กหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหา…ปลดกางเกงของตนเองลง ส่วนแข็งตึงดีดออกมาจดจ่อทางเข้า

“ทำฉัน…”

น้ำเสียงนั้น ราววิงวอน

คุณเกรฟส์ต้องการเขา…ต้องการเขา

ความร้อนระอุเสียดแทง…ทีละนิด…ภายในคับแน่นต่อต้าน หากยังฝืนรุกรานเข้าไป

ครีเดนซ์จิกปลายเล็บเข้ากับบั้นท้าย ประคองไว้ไม่ให้ร่างตรงหน้าล้ม…ความสุขสมแล่นพล่าน

เด็กหนุ่มร้องไห้

ในขณะที่กระแทกเอวเข้าใส่คนที่เคารพรักด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี…ต่อจากผีร้ายฆ่าคน เขาได้กลายเป็นสัตว์หื่นกามต่อหรือนี่

ความใคร่ทะลักล้นออกมาจนเปื้อนชั้นในตรงต้นขา ครีเดนซ์ถอนร่างออกอย่างหอบเหนื่อย…ก่อนจะทรุดลงนั่งอย่างทำอะไรไม่ถูก…เมื่อส่วนกลางร่างกายยังคงแข็งชัน…เขาอับอายต่อความต้องการที่โลภมาก

“เด็กดี…”  เกรฟส์…ที่แปดเปื้อนไปด้วยคาวกาม ลูบเส้นผมของเด็กหนุ่มจนยุ่งเหยิง “ไม่ใช่เรื่องผิด นายทำดีแล้ว นายแค่ปลดปล่อยความต้องการ…รู้ไหม เพราะอะไรมันถึงไม่ยอมสงบ”

ครีเดนซ์ยกมือขึ้นกุมมือที่วางอยู่บนศีรษะ สิ่งที่ได้ยินนั้น ยกความผิดในใจให้เบาบาง

“เพราะอะไรหรือครับ” อยากได้คำตอบที่เป็นดั่งคำให้อภัย

เกรฟส์เชยคางเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นสบตา…ขณะลดตัวลงนั่งคร่อมช้า ๆ

“…เพราะนายรักฉัน”

เหตุผลนั้น…บอกพร้อมช่องทางที่กลืนกินลงมาบนแก่นกาย

ครีเดนซ์ครางในลำคอ…ยกแขนขึ้นกอดรัดเอวอีกคนเอาไว้

…เขาได้พิสูจน์แล้ว…ได้ทดลองแล้ว…ว่ามันรู้สึกดีเพียงไหนยามได้ ‘ทำร้าย’ คนอื่น

ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง…สัมผัสความร้อนระอุตามรอยช้ำอันสดใหม่…เงี่ยฟังเสียงครางเครือแสนซ่านปนกระสันนั้นอย่างพึงใจ

จะแปลกไหม…หากเขาอยากทำร้ายคุณเกรฟส์เพียงคนเดียว…ตลอดไป…ด้วยเหตุผลเดียว

เพราะรัก…

-End-

Talk :

  • คือ…ชอบโคลินเอซรา แต่ชอบครีเดนซ์เกรฟส์
  • ถือว่าคนละจักรวาลแล้วกันนะ
  • รู้สึกบาป…