ตอนเก่าๆค่า
หมายเหตุ นี่คือการลงรวดเดียวตั้งแต่ตอน 24-30(จบ)
Day 24
Keyword : ไฟถนน
Ch 24 : Jan 4, 2017.
‘ปลาฉลามขาวถือว่าเป็นปลาฉลามที่มีเลือดอุ่นหนึ่งในหกชนิดที่เป็นที่รู้จัก โดยปลาฉลามขาวมีระบบการเผาผลาญแตกต่างไปจากปลาฉลามทั่วไป ที่ความร้อนจะสูญเสียไปในเหงือกและผิวหนัง แต่ปลาฉลามขาวมีการวางตัวของเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำที่มีลักษณะเฉพาะช่วยให้การถ่ายเทความร้อนระหว่างเลือดอุ่นและเลือดเย็น ทำให้แกนกลางลำตัวรักษาความร้อนไว้ได้ กอรปกับมีการวางตัวกล้ามเนื้อแดงอุ่นที่บริเวณกลางลำตัว โดยมีระบบแลกเปลี่ยนเป็นตัวช่วยลดการสูญเสียความร้อนผ่านผิวหนังลง ช่วยให้ปลาฉลามขาวมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส อย่างคงที่แม้ว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม จึงสามารถทำให้ว่ายน้ำและล่าเหยื่อในที่ ๆ ลึกหรือมีอุณหภูมิต่ำจนเย็นยะเยือกได้’
-Wikipedia
หนึ่งในผู้ก่อตั้งแห่ง United เคยกล่าวเอาไว้ ว่านับแต่สถาปนารัฐแห่งนี้ แผ่นดินจะไม่มีวันลุกเป็นไฟอีก
เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ คือ น้ำ
…เป็นตลกฝืดและแป๊กที่สุดในประวัติศาสตร์มาหลายชั่วอายุคน…
แต่ในวันนี้ วิญญาณท่านผู้ก่อตั้งคงจะต้องถอนคำพูดเสียใหม่…เพราะแม้ไม่มีแผ่นดินเหลือเยอะให้ไฟลุก หากสิ่งก่อสร้างอัดแน่นไปทั่วทุกพื้นผิวนั้นคือเชื้อไฟลอยน้ำ
และตอนนี้ ฟืนที่ชื่อบ้านเรือนและอาคารกำลังลุกไหม้ เพราะสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลและกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
กองเรือยนต์ของชาร์กเบนเดอร์กลายเป็นฝันร้ายของประชาชน แม้จะไม่มีคำสั่งให้ปล้นฆ่า หากการลาดตะเวนค้นหาก็ส่งผลกระทบไปทั่ว บ้านและร้านค้าถูกรื้อค้นเสียหาย เหตุการณ์ยิ่งบานปลายเมื่อเจ้าหน้าที่ของผู้ว่าการเมืองออกมาปราบปราม แต่ถูกโจมตีสวนกลับ จึงเปิดฉากทำลายล้างกันอย่างเต็มรูปแบบ
พอลรับหน้าที่ขับเรือของเพ็ททูเนีย พยายามหาทางเข้าไปให้ถึงตัวของชาร์กเบนเดอร์ ทว่าเจ้านายผู้ร้ายกาจกลับซ่อนเร้นไม่ยอมเผยตัว พวกเขาตะเวนทำลายเรือยนต์ไปนับไม่ถ้วน หากเหมือนยิ่งจมลงไปเท่าไหร่ กำลังเสริมยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเท่านั้น
“ดูเหมือนกำลังพลของซีตัสจะเสียเปรียบอยู่” คาร์ลตั้งข้อสังเกต ขณะโดดลงไปในเรือศัตรูลำล่าสุดที่จัดการได้ หยิบฉวยเอาปืนและเครื่องกระสุนที่เหลืออยู่ โยนกลับไปเรือของพวกตน
โจชัวรับอาวุธที่อีกคนโยนมา คัดเลือกที่ยังใช้ได้ รีโหลดให้พร้อมแล้วสะสมไว้ในกระเป๋าสัมภาระเป็นอาวุธสำรอง “แหงล่ะ รัฐบาลขี้ตืดจะไปมีกองเรือจำนวนมหาศาลแบบบริษัทเอกชนได้ยังไง”
“พูดแล้วเจ็บจี๊ดเลยแฮะ” พอลเอนหลังพักผ่อนชั่วคราว “…ใครจะไปนึก ว่าบริษัทที่ทำงานด้วยและยกย่องบูชา จะกลายมาเป็นภัยคุกคามขนาดนี้”
คาร์ลแค่นหัวเราะพลางคิดตาม…เรื่องมันเริ่มจากอะไรกันนะ อ้อ เริ่มจากโจชัวตั้งท้อง…
วันเวลาอันปกติธรรมดาของเขาหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนจากถือปืนคุ้มกันสินค้า เป็นการเหนี่ยวไกปืนสู้กับพนักงานบริษัทเดียวกัน
หากเขาไม่เสียใจสักนิด ที่ชีวิตต้องพลิกผันขนาดนี้ เพราะตลอดทางที่เขาเดินผ่านพร้อมกับโจชัว ได้พบเห็นความอยุติธรรมมากมาย…รับรู้จากประสบการณ์ตรงคือการถูกเหยียดหยามเมื่อกลายพันธุ์ ทั้งที่รักษาได้ หากยังมีคนมากมายเลือกจะรังเกียจเดียดฉันท์
นอกจากนั้น ระหว่างอยู่ในคริมสันเขายังได้รับฟังเรื่องราวของเหล่าผู้ลี้ภัย…ไม่ใช่แค่ชาร์กเบนเดอร์ หากกลุ่มผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่ต่างใช้อำนาจกันอย่างสุดโต่ง เพียงเพราะเหล่าอัลฟ่ามีกายภาพและพลังธรรมชาติอันเหนือกว่า จึงเอารัดเอาเปรียบแทบทุกทาง ซ้ำยังพยายามกำหนดบทบาททางสังคมตามแต่ตนพอใจ
โอเมก้ามากมายถูกฉุดคร่าไป โดยไม่สนว่าเดิมจะมีคนรักหรือไม่ ในคริมสันนั้น คาร์ลเจอคู่รักที่เป็นโอเมก้าเหมือนกัน เจออัลฟ่าที่เป็นภรรยาของเบต้า ได้พบเห็นความสัมพันธ์อันหลากหลายที่ไม่ได้ถูกจำกัดให้เป็นไปตามวิถีของ ‘เพศสภาพ’
พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หากต้องหลบลี้หนีออกมาเพราะผิดแผกจาก ‘สังคม’ ที่เหล่าผู้มีอิทธิพลตั้งบรรทัดฐานเอาไว้
เส้นหมึกที่ไม่ได้ลากตรงตามขอบไม้บรรทัด จัดว่าเป็นเส้นหมึกที่เสียเปล่าหรือไม่…หากไม่ได้เป็นเส้นตรงจะหมดคุณค่าหรือเปล่า…หากไม่เสียหลักหลุดออกมา จะได้สร้างเส้นโค้ง วงกลม หรือลวดลายใหม่ ๆ ไหม
เขาจะสู้ เพื่อรักษาความหลากหลายอันสวยงามเหล่านั้นเอาไว้
นั่นคือปณิธานของเบต้าธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยการล้มล้างผู้มีอิทธิพล
…แต่ก่อนอื่น ต้องเอาชีวิตรอด
พอลกำลังเอนหลังกับเบาะคนขับ หากหูตาไม่ได้ประมาท เขาแว่วเสียงน้ำกระเพื่อมมาจากโค้งด้านหน้า จึงรีบบอก “มีเรือกำลังตรงมาทางพวกเรา เตรียมรับมือ”
คาร์ลกระโดดกลับมาบนเรือของเพ็ททูเนีย โจชัวปลดเซฟตี้ปืนรอ พอลขับเรือออกไปช้า ๆ
ทว่าสิ่งที่โผล่พ้นโค้งออกมา ไม่ใช่เรือยนต์หน้าตาธรรมดา หากเป็นเรือรบมีหลังคาพร้อมเครื่องยิงระเบิด
“ไอ้ฉิบหาย!!!!” พอลอุทานพร้อมตบคันเกียร์แล้วหักพวงมาลัยไปขวาสุดแรง เรือเอี้ยวตะแคงจนแทบคว่ำ
ระเบิดลูกแรกพุ่งเฉียดท้ายเรือ อัดเอามวลน้ำสาดกระหน่ำ คาร์ลคว้าโจชัวเอาไว้ทันก่อนจะกระเด็นตกเรือ
“ให้ไวเลยพอล ให้ไว!” หนุ่มแมคเคอเรลตะโกนเร่ง เมื่อเห็นว่าเรือลำเดิมไล่ตามไม่ลดละ
โจชัวประทับปืนขึ้นบ่า ยิงสวนไปหลายนัดก่อนสบถ “บ้าเอ้ย! กระจกหน้ามันกันกระสุน”
“ลำละหลายล้าน UD เลยนะนั่น ชาร์กเบนเดอร์ลงทุนเป็นบ้า” พอลแค่หัวเราะ แล้วกระชากเกียร์จนเรือกระโจน
ระเบิดลูกที่สองตามมาทันทีที่เร่งเครื่องหนี คราวนี้มันเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น คาร์ลหิ้วโจชัวถอยหนีมาเกือบติดเบาะนั่งพอล เพราะท้ายเรือโดนระเบิดจนขอบหาย
“เป็นอย่างนี้ไม่ไหวแน่….” คนขับบ่นพึมพำ เพราะเครื่องเรือขนาดเล็กและบรรทุกคนเอาไว้ถึงสาม การหลบหลีกจึงดูจะเป็นเรื่องยากยิ่ง “คาร์ล โจชัว เดี๋ยวพอฉันกลับลำเรือ พวกนายรีบโดดหนีไป”
“แล้วนายล่ะ!” คาร์ลทำหน้าไม่ยอมรับคำสั่ง
“พวกนายลงไปเรือจะได้เบา ไม่คิดว่าฉันจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นเหรอวะ” พอลหันมาแยกเขี้ยว ประเมินสถานการณ์ด้านหลัง “เรือลำนี้ทนความเสียหายอีกไม่ได้แล้ว ไปซะ!!! ฉันเอาตัวรอดได้แน่”
โจชัวประเมินได้แบบเดียวกัน “พอลพูดถูกแล้ว ถ้าไม่สละเรือตอนนี้พวกเราได้กอดคอกันตายแน่ เชื่อใจหัวหน้าหน่อย”
คาร์ลไม่มีทางเลือก ได้แต่ทุบกราบเรืออย่างเจ็บใจ “…ระวังตัวด้วยนะพอล”
“คิดว่าฉันเป็นครายยยยย เดี๋ยวฉันก็หาพวกนายเจอเองน่า” หนุ่มตุ้ยนุ้ยลากเสียงยียวน “ไม่มีเวลาแล้ว โจชัวส่งปืนกลมา! เดี๋ยวฉันจะหักเลี้ยวกลับหลัง พวกนายเตรียมหนี!”
ไม่ถึงอึดใจ ปืนกลเบาพร้อมกระสุนเต็มแม็กกาซีนก็ส่งถึงมือพอล คนขับนับถอยหลังอย่างมั่นคง…สาม…สอง…หนึ่ง…
พวงมาลัยถูกหักจนหมุนคว้าง เรือพลิกตะแคงแล้วหันกลับด้านจนครบรอบ คาร์ลกอดโจชัวเอาไว้แน่น กระโดดหนีโดยอาศัยแรงเหวี่ยงของเรือช่วย เขาหันเอาแผ่นหลังลงน้ำ รับแรงกระแทกทั้งหมดแทนคนที่กอดไว้แนบอก เล่นเอาชาไปเหมือนกัน
สองคนดำลงใต้น้ำ มุดไปโผล่บริเวณข้างอาคารที่ใช้กำบังสายตาจากศัตรูได้ เพราะน้ำหนักเรือเบาลง พอลจึงเร่งความเร็วซิ่งเรือสวนไปอย่างรวดเร็ว สร้างความแตกตื่นให้กับเรือรบ พวกมันรีบกลับลำไล่ตาม
ห่วง แต่ก็ต้องเชื่อใจในตัวของพอล…คาร์ลพาโจชัวไปหาที่หลบซ่อนใหม่ รอคอยโอกาสต่อ
———
เวลาค่ำคืนมาถึง
เสียงปืนซาลงบ้าง หากการต่อสู้ไม่จบลงง่าย ๆ บริเวณต่าง ๆ ในเมืองยังเต็มไปด้วยการปะทะ
เพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็น ทำให้คาร์ลและโจชัวต้องเปลี่ยนมาเดินทางบนบกเป็นหลัก พวกเขาจัดการกับหน่วยไล่ล่าไปนับไม่ถ้วนจนเริ่มอ่อนล้า
คาร์ลประคองโจชัวเดินหลบในเงามืด กระสุนปืนที่ร่อยหรอทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยนัก พวกเขาพยายามเลี่ยงการต่อสู้โดยไม่จำเป็น
แต่ทำได้ลำบากนัก ในที่สุดก็เจอเข้ากับชายในชุดฟอร์มบมจ.ชาร์กเบนเดอร์คนหนึ่ง คาร์ลออกตัวบังอีกคนโดยอัตโนมัติ
ทว่ากลับได้ยินเสียงทักแทนเสียงปืน “คาร์ล!”
เจ้าของชื่อชะงัก ไม่ได้ลดการ์ดลง จนกระทั่งอีกฝ่ายถอดแว่นดำและผ้าพันปกปิดใบหน้าออก
“เอ็ดดี้!” ชายหนุ่มเรียกชื่ออดีตเพื่อนร่วมงาน
“โจชัวก็อยู่ด้วย! โชคดีชะมัดที่เจอพวกนายก่อน” เอ็ดดี้เก็บปืน เดินตรงเข้ามาหา สีหน้าร้อนใจ “พวกฉันได้รับคำสั่งให้ออกมาไล่ล่าคนร้ายฆ่าคนคือนายกับโจชัว บอกตามตรงว่าเชื่อไม่ลง แต่อย่างว่า เจ้านายสั่งมาพวกเราจะทำยังไงได้นอกจากทำตาม แต่ว่านะ…”
โจชัวออกมายืนข้างคาร์ล ไต่ถามอย่างร้อนใจ “ว่ายังไง”
“ถึงเจ้านายจะบอกแบบนั้น แต่ข่าวลืออีกทางมันไม่ใช่” เอ็ดดี้ล้วงเสื้อแจ็กเก็ตบริษัท ไปรษณียบัตรถูกหยิบออกมา “พวกนายต่างหากที่เป็นเหยื่อ”
…กระดาษยับย่นใบเดียวนั้น ดั่งเชื้อไฟให้ความหวังของพวกเขาได้ไปต่อ
“ไปรษณียบัตร…ส่งถึงพวกนายแล้วเหรอ” คาร์ลถาม ‘เอ็ดดี้ อาร์ ซาร์ดีน’ คือชื่อจริงของคนตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่ญาติสนิทของโจชัว
“นอกจากฉันแล้วก็มีอีกเยอะเลย พวกเราอยากรู้เรื่องต่อเลยไปตามพวกนามสกุลแมคเคอเรลกับซาร์ดีนทั้งหมดในบริษัทมา ตอนนี้เลยเกิดสมาคมลับ ๆ ตามหาพวกนาย…เสียดายที่หน่วยทหารส่วนใหญ่เป็นนามสกุลอื่น ไม่งั้นพวกเราคงหยุดสงครามนี้ไปแล้ว”
น่าเสียดายดังที่เอ็ดดี้ว่า แต่แค่นี้ก็ดีเหลือหลาย ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งพวกเขาเริ่มต้นไม่ได้สูญหายไปกับอากาศ ข่าวกำลังแพร่กระจายไป หวังว่ามันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง
“แค่นี้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้วเพื่อน” โจชัวยื่นมือไปบีบบ่าเพื่อนร่วมนามสกุล
“นายไม่ท้องโตแล้ว คลอดแล้วเหรอ” เอ็ดดี้ถามด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะเพื่อน”
“ใช่….” ถึงตรงนี้ คนได้รับความยินดีกลับยิ้มไม่ออก
คาร์ลรีบเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น “ดีใจที่ได้เจอนายนะเอ็ดดี้ แต่พวกเรารีบแยกย้ายกันเถอะ”
“เออ! ฉันเกือบลืมไปเลยว่าเนียนมาลาดตะเวนเพราะอะไร” เอ็ดดี้เปิดกระเป๋าแจ็กเก็ตอีกรอบ หยิบเอาแผนที่เมืองเซาท์เทิร์นเนียร์ออกมากาง “ฉันอาจจะเดินไปส่งพวกนายไม่ได้เพราะต้องกลับไปรายงานตัวต่อหัวหน้า แต่ในแผนที่นี้ฉันมาร์กจุดเอาไว้ให้แล้วว่าปลอดภัย ทุกคนช่วยกันรายงานว่าไม่พบผู้ต้องสงสัย พวกนายเข้าไปหลบได้ตามสะดวก”
คาร์ลอยากจะดึงเพื่อนมากอดแรง ๆ “โคตรเจ๋งเลย…ฉันเป็นหนี้พวกนายทุกคนแล้ว”
“พวกเราทำไปเพราะมนุษยธรรมหรอกนะ ต่อให้คนละนามสกุลกัน ฉันก็จะช่วย” เอ็ดดี้ยิ้มแฉ่ง ปลดถุงกันน้ำใบหนึ่งออกจากเป้มาส่งให้ “ส่วนนี่เสบียงส่วนของฉัน เอาไปกินซะ”
โจชัวรับถุงนั้นมาถือ “สัญญา…หากทุกอย่างคลี่คลาย ฉันจะไม่ลืมบุญคุณนี้”
“อย่าทำซึ้งมาก บอกตามตรงว่าไม่ชิน ฮ่าๆๆๆ” ซาร์ดีนหนุ่มตบบ่าเพื่อนทั้งสอง “เอ้า! ไปได้แล้ว ไว้รอดมาค่อยเลี้ยงเหล้าพวกเรา!”
….
………..
…………….
เอ็ดดี้กลับไปในทางที่มา ส่วนคาร์ลกับโจชัวมุ่งหน้าไปยังจุดปลอดภัย
พวกเขามาถึงซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง อดีตอาจจะเคยเป็นที่อยู่อาศัย แต่ร้างไปเพราะเหตุผลบางอย่าง…ผนังมีไม่ครบสี่ด้าน ลมหนาวพัดกรูเกรียว หากพื้้นปูนยังแห้งสะอาด
สองคนจัดการเสบียงที่ได้มาอย่างหิวโหย อาศัยน้ำในเป้นั้นทั้งดื่มกินและชุบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดร่างกาย wetsuit ถูกถอดผึ่งเอาไว้ เปลี่ยนเป็นชุดสำรอง
สิ่งที่คาร์ลห่วงที่สุด คือแผลผ่าตัดของโจชัว เขากึ่งบังคับให้อีกคนมานั่งตรงหน้า ถลกเสื้อผ้าให้ทำแผลใหม่
ไฟถนนจากภายนอกส่องเข้ามา มือใหญ่ลากยาฆ่าเชื้อผ่านรอยเย็บบนหน้าท้องขาวอย่างเบามือ…แผลของโจชัวอักเสบขึ้นมาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวช่างทรหดอดทน ไม่ปริปากแม้เพียงนิด
“นาย…ไม่ควรมาเสี่ยงเลย” คาร์ลยังคงยืนยันความคิดนี้
“ฉันเต็มใจ” คนเสี่ยงบอกด้วยเสียงมั่นคง “และตัดสินใจดีแล้วด้วย”
อยากจะเถียง อยากจะไล่อีกฝ่ายให้ตรงกลับไปยังคริมสัน…แต่คิดในแง่กลับกัน หากเขาเป็นโจชัวก็คงจะเลือกแบบนี้…เลือกที่่จะสู้แทนที่จะหลบ เลือกที่จะเคียงข้าง แทนที่จะห่างกันไกล
ระยะเวลาไม่ถึงเดือนที่อยู่ใกล้ชิดทุกวัน….สร้างความผูกพันที่ไม่มีวันแยกกันได้
คาร์ลก้มลง แนบหน้าผากกับคนตรงหน้า…มือของโจชัวยกขึ้นมาสัมผัสข้างสันกรามของเขา ลูบไล้ไปยังด้านหลังต้นคอ…เหนี่ยวนำให้โน้มลงมา
ริมฝีปากทั้งคู่แนบประกบ…จูบนี้ โจชัวเป็นคนเริ่ม…ครั้งแรก
แขนใหญ่ดึงร่างอีกคนขึ้นมานั่งบนตัก กอดรอบเอวคอดไว้หลวม ๆ เพราะไม่อยากให้กระทบแผล…เรียวลิ้นสอดเกี่ยวกระหวัดกันราวกับจะผูกมัด
โจชัวครางออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลผ่าตัด คาร์ลชะงัก ปล่อยมือออกทันที
“…พอแค่นี้ก่อนไหม…เดี๋ยวอะไรมันจะเตลิดไปกว่านี้” เขาหัวเราะ แสนเสียดาย แต่ห่วงอีกฝ่ายมากกว่า
“พอเหรอ…” นัยน์ตาสีเทาอ่อนนั้น สว่างวาวในความสลัวของค่ำคืน
โจชัวเอื้อมมือไปยังเป้สัมภาระ หยิบเอา Epi Pen (Epinephrine auto-injector) บรรจุยาแก้ปวดออกมา…เกี่ยวนิ้วตรงขอบกางเกงแล้วดึงลงจนเห็นสะโพกขาว…ปักเข็มลงไป ฉีดยาให้ตนเอง
คาร์ลกลืนน้ำลาย บอกไม่ถูกว่าหวาดเสียวเพราะเข็ม หรือเพราะผิวเนื้อยั่วเย้าตรงหน้า
มือขาวดึงมือใหญ่กว่าให้มาวางบนส่วนเปลือยเปล่า จงใจบดสะโพกลงกับแก่นกายที่นั่งทับอยู่ โจชัวซุกหน้าผากลงกับแผ่นอกหนา กระซิบถาม
“พอเหรอ…นายคิดว่าแค่จูบพอเหรอสำหรับคืนนี้…ฉันไม่ปวดแผลแล้ว อยากทำอะไรมากกว่านั้นไหม”
ถูกยั่วยวนอย่างร้ายกาจ หากยังข่มใจถามไถ่ “…นายเพิ่งผ่าตัดทำคลอดไปไม่กี่วันก่อนนะ”
“ผ่าทางหน้าท้อง ไม่ได้ผ่าทางด้านล่างเสียหน่อย” โจชัวหัวเราะเบาบาง ก่อนจะนิ่งไป…และเอ่ยใหม่ “…ถ้ากลัวว่านี่จะเป็นการเอาเปรียบฉัน ก็ขอให้คิดว่าเป็นการลงโทษฉันก็ได้”
“ลงโทษอะไร” คาร์ลถาม พลางต่อสู้กับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นร้อนขึ้นมา
ความเงียบปกคลุมอยู่หลายอึดใจ ลมหนาวหวีดหวิวคล้ายเสียงร้องไห้
คำสารภาพเอ่ยออกมาจางแผ่ว
“ลงโทษ….ที่ยิงนาย”
แผลบนไหล่ของคาร์ลที่ใกล้หายดี ตอนนี้กลับเจ็บแปลบขึ้นมา
โจชัวลูบรอยแผลที่ใกล้ประสานนั้นโดยไม่เงยหน้ามอง “เป็นฉันเอง…ฉันจงใจยิงนายเพื่อให้โอกาสซีบิลหนี”
คนฟังกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ…เขาพยายามแล้วที่จะกลบความน้อยใจคราวโดนทำร้าย เขาควรจะแสดงสีหน้าแบบไหน หัวเราะ ตกใจ หรือโกรธ
หากเขาเสแสร้งไม่เป็น จึงตอบออกไปอย่างเรียบง่าย
“ฉันรู้…รู้มาตั้งแต่วันแรกแล้ว”
โจชัวนิ่งอึ้ง…
มือที่โอบรอบลำคออีกคนอยู่ สั่น
“…ทั้งที่รู้มาตลอดแต่นาย…” ก็ยังให้อภัยและทำดีกับฉันโดยไม่มีข้อแม้…
“นายจะรู้สึกผิดก็ได้ แต่เชื่อเถอะ…ฉันแค่น้อยใจ…แต่ไม่เคยคิดโกรธนายเลย” คาร์ลดึงคนที่ทำท่าจะผละออกเข้ามากอดแนบแน่น จูบข้างลำคอขาวแผ่วเบา “และฉันไม่อยากลงโทษนาย”
คนฟังเจ็บแปลบในอก หรืออีกฝ่ายจะปฏิเสธเขา
คำตอบตามมาราวกับจะอ่านใจได้
“เพราะเซ็กซ์ไม่ควรเป็นการลงโทษ เซ็กซ์ควรเกิดจากความรัก” คาร์ลเชยคางขาวขึ้นมาให้สบตา “แค่นายบอกมา…ว่าต้องการ…”
ชาติที่แล้วเขาทำอะไรไว้…ถึงได้มาพบเจอกับคนตรงหน้า
โจชัวยกตัวขึ้นจูบคาร์ลแนบแน่น กอดรัดจนแขนเจ็บแปลบ เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้ขณะบอกความต้องการแผ่วเบา…
คาร์ลยิ้มออกมา…ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นสูง สอดนิ้วเข้าไปในริมฝีปากสีเรื่อแดงที่เพิ่งกระซิบคำหวานล้ำ…สร้างความฉ่ำชื้นเคลือบปลายนิ้วจนแวววาว
ร่างใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังขาว หยาดน้ำเป็นทางยาวไปทุกที่ที่สัมผัส…ก่อนสอดลับหายเข้าไปในช่องทางชื้นร้อน…กวาดวนให้พร้อมสำหรับการร่วมรัก
คนถูกเล้าโลมบิดเอวไปมา…ก่อนจะปล่อยมือข้างหนึ่งจากบ่ากว้าง เลื่อนลงไปกอบกุมแก่นกายใหญ่ รูดชักจนมันร้อนราวกับท่อนฟืนลนไฟ
คาร์ลกัดฟัน เมื่อคนบนตักยันตัวลุกขึ้นด้วยเข่า…ครอบช่องทางลงบนความเป็นชายของเขา แล้วขย่มโยกอย่างเปี่ยมด้วยตัณหา…เขาไม่นึกเลยว่าเซ็กซ์แบบสอดใส่ครั้งแรกระหว่างเขากับโจชัวจะร้อนร่านได้ขนาดนี้
เอาแกร่งกระแทกสวน แม้ห่วงว่าจะกระเทือนอาการบาดเจ็บ หากไม่อาจออมแรงได้…เพราะเจ้าของแผลกำลังควบขี่เขาอย่างกระหาย ชักพาทุกเหตุผลให้เตลิดไปจนสิ้น
ความสุขสมต่อเนื่องยาวนาน หากอย่างไรก็มีจุดสุดท้าย…ความปรารถนาร้อนลวกเปรอะเปื้อน…ท่วมท้นทั้งในร่างของโจชัวและบนหน้าท้องของคาร์ล พวกเขากอดกันแน่น…นานเท่านาน ราวกับไม่อยากถอดถอน
ลมหนาวพัดกรูว หากพวกเขามีไออุ่นจากเรือนกาย…ตระกองกอดกันเอาไว้…หวงแหนเวลานี้ ไม่อยากแม้แต่หลับตานอน…
TBC
Recent Comments